วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555

คาโปเอร่า

ประวัติ คาโปเอร่า (Capoeira)

คาโปเอร่า (Capoeira) ศิลปะป้องกันตัวแขนงหนึ่ง มีต้นกำเนิด จากบราซิล ที่เกิดจากการผสมผสานของการต่อสู้ การเต้น ดนตรี กายกรรม ปรัชญา คาโปเอร่าเกิดโดยทาสชาวแอฟริกันในบราซิล เริ่มในช่วงประมาณ คริสต์ศตวรรษที่ 15 ซึ่งมีข้อถกเถียงกันว่า คาโปเอร่านั้นเกิดในแอฟริกา

คาโปเอร่าจะมี 2 รูปแบบคือ การฝึกแบบดั้งเดิม หรือแบบ Angola ที่ใช้เวลาฝึกยาวนานและท่วงท่าเชื่องช้ากว่าแบบ Regional ที่มีการเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่า และใช้เวลาสั้นกว่าในการปฏิบัติ

ประวัติ
ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16-19 โปรตุเกสได้ ส่งทาสจากแอฟริกาตะวันตกมายังอเมริกาใต้ ชาวแอฟริกันจำนวนมากถูกนำตัวมายังประเทศบราซิล (ประมาณ 4 ล้านคน) ทาสเหล่านี้ได้นำวัฒนธรรมพวกเขามาด้วย เหล่าทาสได้ถูกแบ่งออกไปเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อที่แยกย้ายกันไปทำงานในที่ต่าง ๆ ในทาสกลุ่มนี้จะมีคนจากหลายพื้นที่และต่างวัฒนธรรมมารวมกัน หลังจากที่ทาสเหล่านี้อยู่ด้วยกันต่างก็แลกเปลี่ยนและซึมซับวัฒนธรรมซึ่งกัน และกัน

ในกลุ่มชุมชนเล็ก ๆ นี้ คาโปเอร่าได้เริ่มก่อตัวและพัฒนาเพื่อใช้ในการต่อสู้และป้องกันตัวจากทหารชาวโปรตุเกส และ เริ่มมีการสอนคาโปเอร่าให้กับคนอื่น ๆ โดยที่จะฝึกหัดกันในวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดพักของทาส แต่เนื่องจากทาสนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ฝึกศิลปะป้องกันตัว การฝึกจึงถูกแต่งเติมไปด้วยการเต้น ดนตรีร้องเพลง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชาวแอฟริกันอยู่แล้ว เพื่อที่จะใช้บังหน้าจากการฝึกคาโปเอร่า

ต่อมาหลังจากมีการเลิกทาส ในช่วง ค.ศ 1888 ชาวแอฟริกันบางส่วนเดินทางกลับ แต่บางส่วนยังคงอาศัยอยู่ในบราซิล แต่เนื่องด้วยไม่มีงานทำมากนัก จึงทำให้หลายกลุ่มกลายเป็นอันธพาล พวกเขายังคงฝึกคาโปเอร่าอยู่ และกลายเป็นพวกต่อต้านรัฐบาล ก่ออาชญากรรมเมื่อมีการนำคาโปเอร่าไปใช้ในทางที่ผิด ทางรัฐบาลของบราซิลจึงมีคำสั่งให้ คาโปเอร่านั้นเป็นสิ่งผิดกฎหมาย (ช่วงปีค.ศ 1890) ผู้ฝ่าฝืนจะถูกจับ แต่ก็มีบางส่วนที่ขัดขืนก็จะถูกยิง โดยที่ตำรวจในสมัยนั้นก็ฝึกฝนคาโปเอร่าด้วยเช่นกัน เพื่อที่จะใช้ต่อสู้กับผู้ฝ่าฝืนได้

จนกระทั่งถึงช่วงที่ บราซิลมีสงครามกับปารากวัย รัฐบาลบราซิลได้จัดตั้งกลุ่มนักรบขึ้นมากลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นนักสู้ คาโปเอร่าโดยเรียกว่า Black Military จะส่งไปรบกับปารากวัย โดยสามารถนำชัยชนะมาให้กับบราซิลได้ นั่นทำให้เหล่านักสู้คาโปเอร่าได้รับการยกย่องอีกครั้ง

Mestre Bimba และ Mestre Pastinha บิดาแห่งคาโปเอร่ายุคใหม่ โดย Mestre Pastinha ได้ก่อตั้งโรงเรียนสอนคาโปเอร่าแห่งแรก(ในปี ค.ศ. 1942)ขึ้นมานี่เป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า คาโปเอร่า เป็นศิลปะการต่อสู้ที่ถูกกฎหมาย และได้ทำให้คาโปเอร่ากลับมาสู่ความนิยมอีกครั้ง

จิงก้า (Ginga)
คือ พื้นฐานของ คาโปเอร่าถ้าเปรียบเทียบกับศิลปะการต่อสู้ชนิดอื่น ๆ ก็คือ การเต้น Footworkโดยพยายามก้าวขาประมาณความกว้างของอก และก้าวเท้าหนึ่งไปข้างหลังและกลับมาที่เดิม เป็นลักษณะสามเหลี่ยมบนพื้น การเคลื่อนไหวแบบนี้จะทำให้ส่วนของร่างกายพร้อมไปกับการเคลื่อนไหวส่วนอื่น
การจู่โจม
โดยพื้นฐาน คาโปเอร่าจะจู่โจมโดยการเตะ การปัด การใช้หัวโขก บางครั้งจะเห็นการใช้มือบ้าง แต่ไม่บ่อยส่วนใหญ่จะใช้ข้อศอกแทน การใช้เข่าเห็นบ้างบางครั้งคาโปเอร่าใช้ความผาดโผนและการเคลื่อนไหวที่แข็ง แรง ที่ใช้เป็นกลยุทธ์ต่อคู่แข่งขันการตีลังกา หรือ อาอู (Au) ,handstands (bananeira), headspins (piao de cabeca), hand-spins (piao de mao), hand-springs (gato), sitting movements,การหมุน,การกระโดด,การดีด ทั้งหมดล้วนเป็นท่าพื้นฐานของคาโปเอร่าขึ้นอยู่กับความสามารถและจังหว
การป้องกัน
การป้องกันประกอบด้วยการหลบและการหมุน ขึ้นอยู่กับทิศทางและจุดประสงค์ของการป้องกัน การป้องกันอย่างง่ายคือการหมุน โดยรวมการหลบและการเคลื่อนตัวช้า และสามารถเคลื่อนย้ายตัวเองมาจู่โจมการหลบอย่างอื่นเช่น rasteira, vingativa, tesoura de mão หรือ queda จะทำให้เคลื่อนและเข้าใกล้หาจุดโหว่ของคู่ต่อสู้ได้
จู่โจมและป้องกัน
มีบางท่าอย่าง au batido ที่เป็นการจู่โจมและป้องกันพร้อมกัน โดยเริ่มจากการตีลังกาหนี จากนั้นใช้ขาเตะออกไปพร้อมกัน การเตะ 2 ครั้งเรียก meia lua de frente และ armada คือการหมุน 2 ครั้งแล้วเตะ

ลักษณะการเล่น
การเล่นคาโปเอร่า เริ่มจากการยืนกันเป็นวงกลม ซึ่งเรียกว่า Roda (ออกเสียงว่า โฮ-ด้า)โดยที่มีเครื่องดนตรีอยู่ตรงหัววง การเล่นจะเริ่มต้นโดยที่ผู้ที่เล่นบีริมเบาว์ (berimbaus)เริ่มเล่นและหลังจากนั้นเครื่องดนตรีอื่น ๆ ก็จะเล่นตามมา เมื่อผู้เล่นบีริมเบาว์ ส่งสัญญาณว่าให้เริ่มเล่นได้ ผู้เล่น 2 คนก็จะเดินมาหยุดตรงหน้าของผู้เล่นบีริมเบาว์ ทำการจับมือกัน และเริ่มต้นเล่น โดยในขณะเดียวกันคนอื่น ๆ รอบ ๆ วงก็จะตบมือพร้อมทั้งร้องเพลง โดยมีผู้เล่นบีริมเบาว์เป็นผู้นำ เมื่อคู่ที่เล่นอยู่ต้องการที่จะหยุดก็จะทำการจับมือกัน เพื่อเป็นสัญญาณว่ายุติการเล่นของคู่นั้น ๆ แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเกิดคนใดคนหนึ่งรอบ ๆ วงมีความต้องการจะเล่นกับคนใดคนหนึ่งในคู่ที่กำลังเล่นอยู่ ก็สามารถทำได้ซึ่งเราเรียกว่า การ Buying Game โดยคน ๆ นั้น จะหาจังหวะเข้าไปแทรกกลางระหว่างคู่ที่กำลังเล่นอยู่ โดยผู้ที่แทรกนั้นหันหน้าไปทางผู้ใดก็คือ ต้องการที่จะเล่นกับคน ๆ นั้น ในการเล่นนั้นจะไม่มีการปะทะหรือกระทบกระทั่งกันรุนแรงนัก เพื่อมิให้เกิดอันตรายและการบาดเจ็บแต่ตัวผู้เล่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น