วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

10 อันดับ งานสร้างสรรค์ที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว


10 อันดับ งานสร้างสรรค์ที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว

10. Ancient Cave
มีการค้นพบศิลปะโบราณที่มีอายุหลายพันปีที่วาดรูปสิ่งที่ดูเหมือนไม่ใช่มนุษย์ เอาไว้ ส่งผลทำให้เกิด “ทฤษฏีนักบินอวกาศในโลกโบราณ”ขึ้น โดยตำนานกล่าวว่ามีเทพหรือผู้มาจากฟ้าเบื้องบนมาติดต่อกับมนุษย์สมัยก่อน เพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและความรู้แก่พวกเขา โดยภาพศิลปะโบราณนั้นปรากฏอยู่ทั่วโลก เช่น ภาพเขียนที่ทะเลทราย ซาฮาร่า อายุประมาณ 6,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช มีภาพวาดหนึ่งที่คล้ายจานบินและมนุษย์ต่างดาว, ศิลปะสกัดหินแห่งหุบเขาคาโมนิคา ภาพวาดคล้ายมนุษย์อวกาศ มีความเก่าแก่ประมาณ 10,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ส่วนในภาพเป็นส่วนหนึ่งของภาพวาดตามผนังของชนเผ่าอบอริจินที่เมือง Kimberly อายุประมาณ 5,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ที่เป็นภาพเหล่ามนุษย์แปลกๆ ที่ดูแล้วไม่ใช้มนุษย์ แต่เหมือนมนุษย์ต่างดาวมากกว่า ในขณะที่ฝ่ายค้านจานบินบอกว่าภาพเหล่านี้น่าจะเป็นภาพเทพเจ้าตามความเชื่อ ของคนโบราณมากกว่า
9. Egyptian Carvings
มีหลักฐานชัดเจนว่ามีเทคโนโลยีสูงสุดในยุคโบราณที่ปรากฏในภาพเกาะสลักในจารึก ในอียิปต์ บางภาพดูเหมือนเฮลิคอปเตอร์, จานบิน, เครื่องบินเจ็ท หรือแม้กระทั้งหลอดไฟฟ้าที่ค้นพบในวิหารเดนเดรา ซึ่งชาวอียิปต์โบราณได้สลักภาพที่ดูเหมือนหลอดไฟฟ้าไว้อย่างชัดเจน โดยสิ่งเหล่านี้ไม่ได้กล่าวถึงวรรณกรรมในอียิปต์แต่อย่างใด ส่วนภาพที่เห็นนั้น คือ คานติดเพดานอายุกว่า 3000 ปี ในวิหารอาบิดอส โบราณทางใต้ของไคโร ของอียิปต์ บริเวณที่ราบสูงกิซา มีภาพประติมากรรมยานลึกลับปรากฏอยู่
8. Nazca Lines
ไกลออกไปในที่ราบสูงซึ่งเป็นที่ทะเลทรายนาซคา ในภาคใต้ของเปรู ได้มีลายเส้นเครื่องหมายหรืออาจเป็นสัญลักษณ์บางสิ่งบางอย่าง ปรากฏขึ้นอย่างดาษดื่นทั่วไปกินเนื้อที่หลายร้อยตารางไมล์ แต่ส่วนใหญ่พบอยู่ในระหว่างเมืองนาซคากับเมืองปัลปา ลักษณะมีการขีดเน้นอย่างจงใจและประณีต ขนาดใหญ่โตถึง 200เมตร และรูปทั้งหมดครอบคลุมเนื้อที่กว่า 500 ตารางกิโลเมตร ท้าทายแดด ลม ฝน เป็นเวลากว่าสองพันปี ลายเส้นเหล่านี้นิยมเรียกกันว่า "นาซคาไลน์" นาซคาไลน์ มีหลายรูปแบบ ชนิดที่เป็นทรงเรขาคณิตก็มี ทรงสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม สี่เหลี่ยมคางหมู วงกลมเส้นหยัก เส้นแคบ ยาวกว่า 5 ไมล์ นอกจากนั้นยังมีรูปนก สัตว์เลื้อยคลาน ปลาวาฬ ลิง แมงมุม นกฮัมมิ่งเบิร์ด (ทั้งๆที่เปรูไม่มีนกชนิดนี้) บางภาพก็คล้าย เครื่องปั้นดินเผาโบราณของชาวเมืองนาซคาที่อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นงานของชาวเมืองนี้อายุลานเส้นสันนิษฐานว่าตกอยู่ใน ยุค 100 ปี ก่อนคริสตศักราชถึงคริสตศักราช นาซคาไลน์ แม้จะดูทำขึ้นแบบง่ายๆ แต่คำนวณแล้วว่าต้องใช้เวลามาก ไม่ว่าจะเป็นการเกลี่ยหินหน้าทรายการจัดแนวหินให้เป็นเส้นตรง และค่อนข้างชัดเจนว่าภาพเหล่านี้จงใจสร้างขึ้นเพื่อให้มองจากท้องฟ้า การออกแบบหาไอเดียเพื่อให้เหมาะกับภูมิประเทศ ซึ่งไม่มีฝนตกเลย อย่างน้อยก็พันปีมาแล้ว มีการเดาไปต่างๆ นานา บ้างว่าเป็นถนนก่อนประวัติศาสตร์ ฟาร์ม สนาม ยานอวกาศ เครื่องหมายหรือสัญญาณบอกเรื่องราวแก่สิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า เช่น มนุษย์ต่างดาว หรือพระเจ้าในความเชื่อถือทางศาสนา แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครรู้จริง นอกจากจะสันนิษฐานว่าเป็นผลงานทางศิลปะของอินเดียนแดงโบราณ
7. Antikythera Mechanism
มีสิ่งประดิษฐ์อย่างน้อยหนึ่งชิ้นที่พิสูจน์ว่า อารยธรรมหนึ่งในโลกโบราณเป็นเจ้าของเทคนิคที่ไม่มีนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ คาดถึงมาก่อน มันถูกพบในทะเลนอก เกาะแอนติไกเธอร่า เป็นเกาะเล็กๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศกรีซ มันจึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อ เครื่องจักรกลแอนติไกเธอร่า มันถูกค้นพบจากเรือที่อับปางลำหนึ่งที่ถูกค้นพบในปี 1900 การค้นพบในครั้งนี้ทำให้รัฐบาลประเทศกรีซ ยืนมาช่วยเหลือ ได้ยื่นมือกู้สมบัติ กว่าจะกู้หมดใช้เวลา 9 เดือน พวกเขาก็นำเอารูปปั้นหินอ่อนและบรอนซ์ขึ้นมา และนำพวกมันไปยังพิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติในกรุงเอเธนส์ เพื่อทำความสะอาดและบูรณะ พนักงานของพิพิธภัณฑ์ตื่นตาตื่นใจในความงามและปริมาณที่มีอยู่มากมายของสิ่ง ของ ดังนั้นมันจึงไม่น่าแปลกใจที่ต้องใช้เวลาหลายเดือน ก่อนที่จะมีใครมองดูซากบรอนซ์ที่ผุกร่อนสองสามชิ้นที่ถูกค้นพบมาพร้อมกัน อย่างใกล้ชิด เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 1902 นักโบราณคดีชั้นนำผู้หนึ่ง คือ วาเลอริออส สตาอิสได้ตรวจพบมันในที่สุด เขาสังเกตเห็นสมบัติที่งมขึ้นมีชิ้นเดียวที่ถูกละเลยกองรวมรูปหล่อบรอนซ์และ รูปสลักหินอ่อนไม่สมบูรณ์อื่นๆ แถวรูปร่างของมันคล้ายนาฬิกามีโครงร่างซี่ล้อผุพัง ใ แต่ชิ้นที่น่าสนใจที่สุดของทั้งหมดคือเครื่องจักรกลที่รวบรวมระบบฟันเฟือง ที่แตกต่างกันโดยอย่างสิ้นเชิง นี่ เพราะตามประวัติศาสตร์ได้มีการคิดระบบฟันเฟืองที่ซับซ้อนถึงเช่นนี้ปรากฏ เป็นครั้งแรก ในตัวเรือนนาฬิกาที่สร้างขึ้นในปี 1575 ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่ามันเป็นล้อฟันเฟืองของจานกลุ่มดาว ซึ่งนักดาราศาสตร์ใช้ในการวัดการขึ้นของดวงอาทิตย์ - เลอริออสได้ประกาศสิ่งที่เขาพบว่านี้คือเครื่องกลไกทางดาราศาสตร์โบราณ แต่ก็มีการโต้เถียงในเวลาต่อมา เพราะหลายคนไม่เชื่อว่าคนสมัยก่อนไม่น่าจะมีหัวคิดในเรื่องกลไกลสลับซับซ้อน แบบนี้ได้ แม้จะเก่งเรื่องคณิตศาสตร์ก็ตาม - ไม่มีใครรู้ว่าเครื่องจักรกลแอนติไกเธอร่าใช้อย่างไร หรือมันไปทำอะไรในเรือที่บรรทุกรูปปั้น แต่ตัวของไพรส์คิดว่ามันอาจเป็นตัวแทนของจักรวาลเป็นงานศิลปมากกว่าที่จะ เป็นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เขายังเชื่อว่ามันอาจเป็นส่วนหนึ่งของการสืบ ทอดเทคนิคการติดตั้งเฟืองที่ตกทอดให้แก่คนรุ่นหลัง จากประเทศกรีซ โบราณให้กับผู้รับช่วงชาวมุสลิม และท้ายที่สุดก็ออกดอกออกผลมาเป็นนาฬิกาทางดาราศาสตร์ของชาวยุโรปผู้ยิ่ง ใหญ่ในยุคกลาง และเครื่องจักรกลแอนดิคีเธอร่าต้องจัดให้เป็นอย่างที่ไพรส์กล่าวว่า "เป็นหนึ่งในประดิษฐกรรมพื้นฐานทางด้านเครื่องจักรกลทางเวลาทั้งหมด" - อย่างไรก็ตามการค้นพบ เครื่องจักรกลแอนติไกเธอร่า (Antikythera Machine) นั้นเป็นการค้นพบทางโบราณคดีที่สำคัญชิ้นแรก ที่จุดประกายให้มีการลบล้างความเข้าใจดั้งเดิมที่เชื่อๆ กันว่าคนโบราณนั้นฉลาดเหลือเชื่อ(หรือเป็นผลงานของมนุษย์ต่างดาวกันแน่)
6. Saqqara Bird
ถูกค้นพบเมื่อปี 1898 ในสุสานใกล้กับเมืองกีซาซึ่งถูกประมาณการว่าสร้างเมื่อ 200 ปี ก่อนคริสตกาล (บางเอกสารจะกล่าวว่า 2000 ปี (แต่บางคนบอกว่า 200 ปี) โดยเป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมนักบินอวกาศยุคโบราณ) โดยรูปร่างสิ่งนั้นเหมือนเครื่องบินยาวประมาณ 14 เซนติเมตร ปัจจุบันหลักฐานชิ้นนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์กรุงไคโร โดยผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์การบินชี้ว่าทรวดทรงและองศาของปีกตรงตามหลักการทำ ปีกเครื่องบิน และยังมีผู้กล่าวด้วยว่าเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุด (ในเวลานั้น) ซึ่งดีไซน์โดยนาซ่ามีความคล้ายคลึงกับโมเดลดังกล่าวนี้มาก ส่วนคนค้านก็ว่าว่า “มันเป็นนกไม่ใช่เครื่องบิน” หากแต่สังเกตดีๆ สิ่งนั้นไม่มีขาและองศาของปีกนั้นไม่เหมือนกับนก อีกทั้งการออกแบบเหมือนเครื่องบินกำลังยกเครื่อง โดยปัจจุบันเชื่อว่าเป็นศิลปวัตถุทางศาสนา ไม่ก็ของเล่นของเด็กสมัยก่อน

5. Dogu
โดกุเป็นรูปปั้นประหลาด เริ่มผลิตในสมัยโชมอน ตอนปลาย (ของญี่ปุ่น) รูปแกะสลักดังกล่าวเป็นงานหยาบๆ และง่ายๆ โดยการเกลาไม้ให้เป็นรูปร่างคร่าวๆ มีตา จมูก ปาก แขน และขา แต่ประหลาดนิดหน่อยคือมี ศีรษะใหญ่ผิดปกติ ลำตัวและแขนบิดเบี้ยวผิดไปจากธรรมชาติ และสวมเครื่องแต่งกายโบราณเท่านั้น (ไม่นิดหน่อยแล้ว) - ผู้เชี่ยวชาญหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า บริเวณดวงตาโดกุก็มีดวงตากลมโตยื่นออกมาเป็นรูตรงกลาง(บางตัวมีรูปสี่ เหลี่ยมผืนผ้า) และชุดโบราณนั้นก็คล้ายกับชุดอวกาศ เหมือนมนุษย์ต่างดาวไม่มีผิด! ส่วนคนค้านก็บอกว่าดวงตากลมนั้นอาจจะเป็นแว่นกันหิมะเหมือนชาว เอลกิโมก็ได้ ก็ไม่น่าแปลกอะไรเพราะสมัยก่อนญี่ปุ่นมีหิมะเยอะอยู่แล้ว - ในอเมริกาก็มีผู้เชียวชาญมาตรวจสอบเหมือนกัน และให้ความเห็นแบบง่ายๆ ว่า "ถ้าเสื้อโบราณนี้เป็นเสื้ออวกาศละก็จะเป็นชุดที่มีความสมบูรณ์แบบชุดหนึ่ง ส่วนมัสซึมูระ และซีซิกส์ นักโบราณคดี คิดว่าประชากรชาวญี่ปุ่นน่าจะเลียนแบบอะไรสักอย่าง โดยชุดนี้อาจใช้ในการสู้รบกับอะไรสักอย่างที่เกินมนุษย์อย่างเราเข้าใจกัน เพราะมีการสวมถุงมือและถุงเท้าเข้ากับชุดดังกล่าว ถุงมือที่ตัดนั้นจะสวมพอดีกับแขนโดยมีห่วงกลมคอยรัดเอาไว้ ส่วนแว่นตานั้นก็สามารถเปิดหรือปิดก็ได้ ด้านข้างลำตัวจะมีคานติดอยู่ บางทีอาจะมีไว้สำหรับเคลื่อนทีในขณะที่มงกุฎที่อยู่บนหมวกเหล็กนั้นก็อาจจะ เป็นเสาอวกาศ และชุดที่ออกแบบแบบนี้อาจใช้ในสภาพเหมาะสมกับการควบคุมความดันโดยอัตโนมัติ ก็ได้"(ว่าไปนั่น)" - ตุ๊กตาโดกุได้เชื่อมโยงกับ เทพเจ้าฮิโตโคโตนูชิ เป็นเทพที่มาเยือนมนุษยืเพื่อสอนให้มนุษย์รู้จักวิทยาการต่างๆ และสอนให้มนุษย์รู้จักสร้างอาวุธและใช้อาวุธด้วย เทพฮิโตโคโตนูชิ เป็นเทพในชุดโชมอน อยู่ในชุดแต่งกายของชุดมนุษย์โบราณ และถืออาวุธที่ไม่มีอยู่บนโลกใบนี้ และมีหมวกเหล็กสวมบนศีรษะอีก เหมือนพระเจ้าจากอวกาศไม่มีผิด! และตุ๊กตาโดกุนี้ไม่ได้มี จุดเดียวที่ถูกค้นพบ แต่ตุ๊กตาแกะสลักเหล่านี้ถูกค้นพบเกือบทั่วญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น อำเภอคาเมกาโอกะ อาโอโมริ และ มิยูกิ แถบ โตโฮกุและคันโต และอีกหลายตำบลในบริเวณนั้น
4. Crop Circles
ครอปเซอร์เคิล เป็นคำที่ใช้อธิบายถึงรูปแบบพืช(ข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่วเหลือง) ที่ล้มลง จนกลายเป็นรูปทรงโดยรวมที่ออกมา เมื่อมองจากมุมสูงจะพบเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่ซับซ้อน สวยงาม นอกจากนี้มีปรากฏการณ์แปลกๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้มากมาย เช่น มีลูกบอลเรืองแสงที่มีสีสันจากความร้อนได้เกิดขึ้นก่อนการเกิด ครอปเซอร์เคิล ในบางโอกาสมีลำแสงพุ่งลงมายังท้องทุ่ง และต้นพืชที่ล้มลงก้านนั้นจะไม่หักเลยทีเดียวแต่จะงอไปทางขวา ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1678 ที่เฮิร์ทฟอร์ดเชียร์ อังกฤษและในทศวรรษที่ 1980 ได้มีการค้นพบครอปเซอร์เคิลมากขึ้นไปทั่วโลก ไม่มีใครอธิบายได้ว่าใครหรืออะไรทำให้มันเกิดขึ้น จนมันนำไปสู่ทฤษฎีแรกคือร่องรอยการลงจอดของยานจากต่างดาว แต่ข้อสันนิษฐานนี้ก็ยังเป็นที่คลางแคลงใจเพราะไม่มีใครเห็นร่องรอยของรถ หรือรอยเท้าคน แม้กระทั่งขี้บุหรี่และสิ่งของต่างๆตกอยู่เพื่อให้เก็บเป็นหลักฐานในบริเวณ นั้นเลย หากนี่คือฝีมือมนุษย์จริงๆ คนทำงานกลุ่มนี้ต้องมีความรอบคอบมากที่จะไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้ให้สืบค้นแม้ แต่น้อย นอกจากนี้มีคนเสนอทฤษฎีว่า ครอปเซอร์เคิลเกิดจากความผิดปกติของอากาศที่เขาเรียกว่า Plasma Vortex ทำให้เกิดลมหมุนวนในระดับสูงแล้วเคลื่อนตัวลงสู่พื้นทำให้พืชแบนราบ
3. Norwegian Spiral
ใน เดือนธันวาคม 2009 ทางภาคเหนือของนอร์เวย์ มีปรากฏการณ์หนึ่งที่ยากจะหาคำตอบได้นั่นก็คือบนท้องฟ้าปรากฏลำแสงลึกลับ รูปเกลียววงใหญ่ชนิดใหญ่มาก มีสีฟ้าอ่อน ส่งผลให้เกิดกลุ่มเมฆ กลุ่มควันเป็นรูปใยแมงมุมขนาดใหญ่บนท้องฟ้า ปรากฏการณ์ดังกล่าวอยู่นาน 2-3 นาทีก่อนที่จะหายไป โดยพวกยูเอฟโอเชื่อว่ามันเป็นสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาว แถมมีการเสริมว่า มนุษย์ต่างดาววาร์ปมาขัดขวางการรับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่กำลังจะมาถึง นี้ของนายบารัค โอบาม่าด้วย ในขณะที่ฝ่ายค้านเชื่อว่ามันเป็นจรวดมิสไซล์ที่ถูกยิงมาจากเรือของรัสเซีย แต่ระเบิดเกิดผิดพลาด มันเสียสมดุลและหมุนวนในอากาศจนทำให้เกิดควันเป็นวงกลมรูปใยแมงมุมดังกล่าว บ้างก็ว่าเป็นการทดลองของ HAARP จาก Project Blue Beam
2. Stonehenge
สโตน เฮนจ์ เป็นกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ ตั้งอยู่กลางทุ่งราบว้างใหญ่ในบริเวณ เมืองซัลลิสเบอรี่ มณฑลวิลไซร์ ประเทศอังกฤษ ในบริเวณตอนใต้ของอังกฤษ ประกอบไปด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันอยู่ในแนวนอน และบางอันก็ถูกวางซ้อนขึ้นไปข้างบน มีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะที่เป็นกลุ่มหินประหลาดซึ่งไม่มีใครทราบวัตถุ ประสงค์ในการสร้างอย่างชัดเจน และเมื่อพิจารณาถึงอายุของมันแล้ว คาดว่ากลุ่มกองหินประหลาดนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว ทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ ในบริเวณที่ราบดังกล่าว ไม่ใช่บริเวณที่จะมีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมด มาจากที่อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากบริเวณที่เรียกว่า "ทุ่งมาล์โบโร" ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตรเลยทีเดียว - มีผู้สันนิษฐานถึงวัตถุประสงค์ในการสร้างสโตนเฮนจ์กันหลายประเด็น แต่ประเด็นที่ดูจะได้รับความเชื่อถือมากที่สุดคือ พิธีกรรมทางศาสนาของหรือดาราศาสตร์ ใช้ในการสังเกตปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า เช่น สุริยุปราคา เป็นต้น
1. Pyramids of Giza
มีผู้เชื่อว่าเอเลี่ยนโบราณได้เคยทิ้งอนุสรณ์เอาไว้บนโลก และอนุสรณ์ที่โด่งดังที่สุดก็คือ...ใช่แล้ว พีระมิด สิ่งก่อสร้างใหญ่โตโอฬาร ซึ่งแม้พีระมิดที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดจะอยู่ที่อียิปต์ แต่จริงๆแล้วพีระมิดถูกสร้างขึ้นจำนวนมาก มาย กระจายไปทั่วโลก เช่น ในเม็กซิโก กรีซ จีน ฯลฯ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าคนโบราณบนโลกเรานี้ หลายๆพื้นที่จะคิดได้เหมือนกัน ทั้งๆที่สมัยก่อนโน้นเมื่อ 3-5 พันปีก่อน ยังไม่มีการเดินทางไปมาหาสู่กันสะดวกสบายเหมือนตอนนี้ การถ่ายทอดวัฒนธรรมจึงเป็นเรื่องยาก แต่พีระมิดก็เกิดขึ้นแทบจะทั่วโลก และน่าทึ่งด้วยเทคโนโลยีการตัด และเคลื่อนย้ายก้อนหินขนาดใหญ่ รูปทรงที่สมมาตร แถมพีระมิดบางแห่งยัง "ซ่อน" ความลับด้านวิทยาการเอาไว้อย่างน่าประหลาดใจ - พีระมิดเห่งเมืองกีซ่า (เมืองกีเซห์) ตั้งอยู่ ณ เมืองกีเซ่ห์ ประเทศอียิปต์ โดยมีกษัตริย์คีออปส์ หรือคูฟู กษัตริย์คาเฟร และกษัตริย์คูเร เป็นผู้สร้าง ประมาณ 4,500 ปีมาแล้ว เป็นที่บรรจุพระบรมศพของกษัตริย์คีออปส์ หรือ คูฟู พีระมิดแห่งนี้เดิมสูง 481.4 ฟุต แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 450 ฟุต ฐานกว้าง 768 ฟุต ใช้หินทรายตัดเป็นแท่งรูปสามเหลี่ยมหนักประมาณก้อนละ 2 ตันครึ่ง บางก้อนหนักถึง 16 ตัน โดยการนำเอามาซ้อนกันขึ้นไปเป็นทรงกรวย เชื่อกันว่าพีระมิดองค์นี้จะทนแดดทนฝนอยู่ได้อีกนานกว่า 5,000 ปี และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของยุคโบราณสิ่งเดียวเท่านั้นที่มีอายุยืนยาวมาจนถึง ปัจจุบัน - คนที่เชื่อทฤษฏีนักบินอวกาศโบราณเชื่อว่าพีระมิดแห่งกีซาสร้างโดยมนุษย์ต่าง ดาว แต่อย่างไรก็ดีพวกเขาก็ยังหาหลักฐาน ที่เป็นที่มีเหตุผลเพียงพอไม่ได้ ข้อพิสูจน์ที่ว่าพีระมิดแห่งกีซาทั้งสามหันไปทางยังเข็มขัดโอไรออนซึ่ง เชื่อว่าเป็นที่อยู่ของมนุษย์ต่างดาวที่เคยมาเยือนโลกในสมัยโบราณนั้นยังคง เป็นได้เพียงสมมติฐานเท่านั้น โดยมีตำนานเล่าว่า นานมาแล้วนักบินอวกาศจากดวงดาวอันไกลโพ้นได้มาถึงโลกของเรา ปักหลักอยู่อาศัย ได้พบปะมนุษย์โลก และถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆให้ จนกลายเป็นพีระมิดในที่ต่างๆ ซึ่งเกิดการตีความกันไปในหลายทางว่า ความหมายที่แท้จริงของพีระมิดคืออะไรกันแน่ บางคนบอกว่า เป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ ในขณะที่บางคนก็บอกว่าเป็นจุดสังเกตสำหรับยานอวกาศเวลาขึ้นลง

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

10 ฉลามแปลก ที่ธรรมชาติสร้าง

10 Great White Shark (ฉลามขาว)

ฉลามขาวเป็นฉลามที่มีขนาดใหญ่มากๆ พบได้ทั้งบริเวณใกล้ฝั่งและผิวน้ำในมหาสมุทรใหญ่ๆทั้งหลาย ความยาวตัวอาจจะมากกว่า20ฟุตเลยนะจ๊ะ และหนักถึง4,938 ปอนด์ ฉลามขาวเป็นปลากินเนื้อที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้เลยนะ

เนื่องจากภาพยนตร์เรื่อง Jaws ทำให้ภาพพจน์ของฉลามกลายเป็นสัตว์กินคนที่น่ากลัวไปซะงั้น ซึ่งจริงๆแล้วฉลามไม่ได้ทำร้ายคนมากขนาดนั้นซะหน่อย มันไม่ได้เห็นมนุษย์เป็นอาหารของมันเลยด้วยซ้ำ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมีบันทึกคนถูกฉลามขาวโจมตีแค่31คนในรอบ200ปีมานี้เอง!! น้อยกว่าที่จขบ.คิดไว้ซะอีก แถมมีไม่กี่คนด้วยที่ได้รับบาดแผลถึงตาย ฉลามมันคงเซ็งเนอะ อยู่ดีๆคนก็ไปกลัวมันมากมายซะขนาดนั้น - -

#9 Cow Shark (ฉลามวัว)

ฉลามวัวถูกเรียกว่าฉลามที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เพราะโครงกระดูกที่คล้ายคลึงกับพวกที่สูญพันธุ์ไปนานแล้วมีแค่บางส่วนที่ดูเป็นฉลามรุ่นปัจจุบัน ระบบขับถ่ายและระบบย่อยอาหารก็ยังไม่วิวัฒนาการ และลักษณะเด่นที่สำคัญอย่างนึงคือ เหงือกของมันมี6 หรือบางทีก็7เรียงกัน ในขณะที่ฉลามอื่นๆมีเหงือกเรียงกัน5อัน

#8 Zebra Shark (ฉลามม้าลาย)

ฉลามม้าลายที่โตเต็มที่จะมีลักษณะเด่นคือจะมีลายเส้นเป็นแนวเรียงกัน5เส้นตามลำตัว ครีบหางที่อยู่ตรงเกือบครึ่งความยาวลำตัว และลายจุดสีดำเป็นแบคกราวนด์

ในตอนกลางวันจะพบฉลามม้าลายพักผ่อนอยู่ที่พื้นทะเล และบางครั้งจะใช้ครีบหน้าบังคับให้หัวหันไปเจอกับกระแสน้ำและจะอ้าปากทิ้งไว้เพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น มันทั้งเชื่องและเคลื่อนที่ช้า ทำให้ไม่มีอันตรายต่อมนุษย์ และสามารถดำลงไปหาที่พื้นทะเลได้ง่ายๆ แต่ก็มีนักดำน้ำถูกกัดเพราะไปดึงหางมันเพื่อพยายามจะเล่นกับมัน(กำ ก็ซนเองนี่หว่า เล่นอะไรแปลกๆเนอะ) และในปี2008มีอุบัติเหตุถูกฉลามนี้กัดแต่กลับไม่มีแผลซะงั้น

#7 Frilled Shark (ฉลามฝอย)

ชื่อนี้แปลเองนะ ไปsearchในกูเกิ้ลไม่มีนะว้อยย!! จะเรียกฉลามฟริลด์ก็แปลกๆไปหน่อยเลยตั้งชื่อไทยให้เองซะเลย ฮ่าๆ

ฉลามชนิดนี้ถูกเรียกว่าฟอซซิลมีชีวิตเลย ซึ่งมันมีหน้าตาเหมือนปลาไหลตัวใหญ่ๆซะมากกว่าแต่จริงๆแล้วมันเป็นฉลามนะ ในวันที่21 มกราคม ค.ศ.2007 ที่ประเทศญี่ปุ่นมีคนพบปลาที่มีลักษณะคล้ายปลาไหลหน้าตาประหลาดๆและมีฟันที่คม ปลาที่พบนั้นคาดว่าท้องอยู่ด้วย มีความยาว1.6เมตร กลุ่มคนที่พบบอกว่ามันดูไม่ค่อยสบาย เลยจับมันมาใส่ตู้ปลาน้ำเค็ม และถ่ายวีดีโอถ่ายภาพของมันเอาไว้ และปลาฉลามตัวนั้นก็ตายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจับมันมา

ที่มันถูกเรียกว่าฟอซซิลมีชีวิตก็เพราะมันแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ทุกคนคิดว่ามันสูญพันธุ์ไปแล้วจนกระทั่งมีคนพบมันที่ญี่ปุ่นนั่นแหละ

#6 Leopard Shark (ฉลามเสือดาว)

ฉลามเสือดาวพบในคาบสมุทรแปซิฟิก ความยาวลำตัว3.9 4.9 ฟุต ฉลามรูปร่างเพรียวงามตัวนี้เนี่ยจะมีลักษณะเด่นคือลายตามลำตัวของมัน ลายสีดำคล้ายอานม้าที่พาดอยู่ตามหลัง และจุดสีดำๆขนาดใหญ่

กลุ่มของฉลามเสือดาวขนาดใหญ่จะพบในอ่าวและปากแม่น้ำ พวกมันจะว่ายอยู่เหนือผืนทรายและผืนโคลน พบมากในแถบชายฝั่ง ในน้ำที่ลึกน้อยกว่า13ฟุต ว่องไว ฉลามเสือดาวแทบจะไม่มีอันตราบใดๆเลยกับมนุษย์ มีแค่บันทึกที่ว่ามีฉลามเสือดาวไปก่อกวนนักดำน้ำและแค่ทำให้เลือดกำเดาไหล แต่ไม่มีการบาดเจ็บอื่นๆเลย

ฉลามเสือดาวกินเก่งมากกกก และเพราะมันอาศับอยู่ใกล้กับมนุษย์ทำให้ปัญหาสารเคมีมลพิษต่างๆกระทบไปถึงมันด้วย เช่น ปรอท....

#5 Cookiecutter Shark (ฉลามคุกกี้คัตเตอร์)

ชื่อน่ารักดีเนอะ ถ้าดูจากในรูปแล้วตัวซ้ายชื่อคุกกี้จัง ส่วนตัวขวาชื่อคัตเตอร์คุงแล้วกันเนอะ ฮ่าๆ

คุ้กกี้คัตเตอร์คุงเป็นฉลามขนาดเล็กและหายาก เป็นตัวที่เล็กที่สุดในลิสต์นี้เลย แต่เพราะการกินอันแปลกประหลาดและน่ากลัวของมันทำให้มันได้อยู่ในลิสต์นี้ ชื่อของมันได้มาจากการที่มันฉีกเนื้อของเหยื่อออกมาเป็นรอยวงกลมเหมือนเครื่องตัดคุกกี้ เหยื่อที่ว่าก็ตั้งแต่ปลาตัวใหญ่ธรรมดาๆไปจนถึงฉลามกันเอง

มีข้อสมมติฐานว่ามันยึดตัวของมันกับเหยื่อที่ตัวใหญ่กว่าด้วยปากแบบดูดๆของมัน และใช้คอหอยของมันช่วย และหมุนตัวของมันเพื่อสร้างรอยกัดที่สมมาตรเป็นรูปวงกลมพอดี พวกมันถูกจัดอยู่ในกลุ่มปรสิตด้วย และอาจจะพบฉลามคุกกี้คัตเตอร์ที่มีรอยกัดกลมๆอยู่ตามตัวด้วยก็ได้ แต่มีบันทึกว่าโจมตีมนุษย์แค่ครั้งเดียวเท่านั้น

#4 Whale Shark (ฉลามวาฬ)

ฉลามวาฬเป็นฉลามที่เคลื่อนที่ช้าและมีการกินอาหารแบบกรอง”(อ้าปากแล้วปล่อยให้อาหารกับน้ำไหลเข้าไป) ฉลามวาฬเป็นปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถโตได้ถึง40ฟุต และหนักถึง15ตัน ฉลามนี้พบได้ในมหาสมุทรเขตร้อนและอุ่น สามารถมีอายุได้ถึง70ปี เชื่อกันว่าฉลามสายพันธุ์นี้ปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อ60ล้านปีก่อน สาเหตุหนึ่งเพราะขนาดตัวที่ใหญ่โตมโหฬาร แต่ไม่มีอันตรายต่อมนุษย์ แถมยังมีนิสัยขี้เล่นกับนักดำน้ำอีกด้วย นักดำน้ำสามารถว่ายไปพร้อมๆกับเจ้าปลายักษ์นี่ได้โดยไม่ต้องกลัวอะไรเลย ยกเว้นจะโชคร้ายโดนครีบหางขนาดใหญ่ตบปลิวนะ 55

#3 Megamouth Shark (ฉลามปากยักษ์)

ฉลามปากยักษ์เป็นฉลามน้ำลึกที่หายาก ตั้งแต่ถูกค้นพบในปี1976 ก็พบฉลามชนิดนี้แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น 44ครั้งที่เห็นด้วยตา และ3ครั้งที่ถูกบันทึกเป็นวีดีโอ เช่นเดียวกับฉลามวาฬและฉลามบาสกิ้ง มันกินโดยวิธีกรอง โดยว่ายน้ำไปพร้อมกับอ้าปากอันกว้างใหญ่ของมันออก กินแพลงตอนและแมงกะพรุนเป็นอาหาร มีลักษณะเด่นคือหัวที่ใหญ่โตและริมฝีปากที่ยืดหยุ่นได้ มันแตกต่างกับสายพันธุ์อื่นมากจึงถูกจัดอยู่ในตระกูลของมันเอง ไม่ไปรวมกับสายพันธุ์อื่นๆ

#2 Hammerhead Shark (ฉลามหัวค้อน)

ฉลามหัวค้อนได้ชื่อนี้มาเพราะรูปร่างโครงสร้างของหัวที่แปลกประหลาด ซึ่งแบนราบและกางออกไปด้านข้างเป็นรูปค้อน เรียกว่า “cephalofoil” ตาและรูจมูกของมันก็จะไปอยู่ที่ปลายของแต่ละข้าง

รูปร่างที่เหมือนค้อนของมันคาดว่าถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยในการอาหาร และช่วยให้มันหันซ้ายหันขวาได้โดยไม่เสียการทรงตัว

แต่ไม่ใช่แค่หน้าตาที่ทำให้มันได้มาอยู่ในลิสต์นี้ ในปี2007 นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าฉลามหัวค้อนสามารถสืบพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศได้! โดยวิธี parthenogenesis (การสืบพันธุ์โดยไม่ต้องใช้เสปิร์ม คล้ายๆกับที่แมลงสังคมอย่างเช่น มด ผึ้ง ใช้) ใน9สายพันธุ์ของฉลามหัวค้อน มี3ชนิดที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์!!

#1 Goblin Shark (ฉลามก๊อบลิน)

ฉลามก๊อบลินเป็นฉลามทะเลลึก ลักษณะเด่นที่สุดของมันคือรูปร่างของหัวที่แปลกประหลาดนั่นเอง มันมีส่วนที่ยื่นออกไปจากหัวที่หน้าตาคล้ายๆจงอยปาก ยาวกว่าฉลามสายพันธุ์อื่นๆหลายเท่า อีกส่วนที่เป็นเอกลักษณ์ของมันคือสีของตัวมันจะออกไปทางสีชมพู และปากที่ยื่นออกไป

ฉลามก๊อบลินล่าเหยื่อด้วยวิธีการตรวจจับจากตัวรับรู้กระแสไฟฟ้าในจมูกยาวๆของมัน และด้วยสภาพแวดล้มที่มืดมิดของสถานที่ที่มันอยู่ เมื่อมันเจอเหยื่อจึงพุ่งเข้าหาไม่ได้ง่ายๆ มันจึงใช้การ ยื่นกรามของมันออกไปและใช้กล้ามเนื้อที่คล้ายลิ้นดูดเหยื่อเข้ามาหาปากของมัน จากรูปข้างบนจะเห็นว่ามันเป็นฉลามที่น่ากลัวที่สุดตัวนึงเลยทีเดียว


รวมรูปปลาแลปกทั่วโลก