วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ผี คืออะไร
วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554
มีคำถามเกี่ยวกับบราซิล
วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554
10 อันดับ กระดาษแปลกไม่เหมือนใคร
วันนี้ขอเสนอ "10 อันดับกระดาษโน๊ตเท่ห์ๆ" เห็นแล้วอยากเขียนอะไรขึ้นมาในทันที เพราะออกแบบได้เก๋มากๆ
10. Read My Lips Sticky Notes
เป็นโน๊ตที่เหมาะกับคุณผู้หญิงที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมาเลยนะเนี่ย
9. SIMBook Notepad
ออกแบบให้เหมือนกับ SIM มือถือ
8. Talk to the hand sticky notes
ทำออกมาในรูปแบบของมือ แปลกแหวกแนวดีครับ
7. Fruit Memo Pad
มันจะเหมือนอะไรขนาดนั้น เกือบจะกินแล้วนะเนี่ย
6. Murder Ink
แนวสุดๆเลยกับเจ้ากระดาษโน็ตสุดแนว มีพร้อมปากกาโชกเลือด และเจ้ากระดาษโน็ตเป็นรูปร่างคน และจะมีรูให้เสียบปากกา
5. Clever Memo Block Sticky Note Pad
ถ้าไม่บอกว่าเป็นกระดาษโน็ตบอกตรงๆว่าผมก็คิดว่ามันเป็นท่อนไม้มากกว่า
4. Disk-it Sticky Notes
ทำออกมาในรูป Disk ขนาด 1:1 เหมือนมากๆ
3. Balding Memo Pad
ใช้มากๆ หัวล้านกันเลยทีเดียว
2. AquaNotes Waterproof Notepad
กระดาษโน็ตกันน้ำ เวลามีไอเดีย หรือ นึกอะไรออก ทีนี้เหละ จะได้จดได้ โดยไม่ต้องกลัวเปียกซะที
1. Ipad โน๊ต
เห็นช่วงนี้ฮิตกันจริงๆ มองไปทางไหนก็จิ้มๆกัน ถือกระดาษโน็ตอันนี้ก็เหมือนถือ ipad เลย ขนาด 1:1 เลยนะ เนี่ย
"ไอ้เท่ง" ติดท็อป 10 สุดยอดการค้นพบสปีชีส์ใหม่ของโลก แห่งปี 2009

สิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ของโลกที่ได้รับคัดเลือกให้เป็น 10 สุดยอดการค้นพบสปีชีส์ใหม่แห่งปี 2009 (ภาพจาก IISE)
นานาชาติยก "ไอ้เท่ง" ทากทะเลชนิดใหม่ของโลก ที่พบในไทยให้ติด 1 ใน 10 สุดยอดการค้นพบสปีชีส์ใหม่แห่งปี 2009 พร้อมกับหม้อข้าวหม้อแกงลิงยักษ์ในฟิลิปปินส์ แมงมุมสีทองจากมาดากัสการ์ จากหลายพันสปีชีส์ที่มีรายงานการค้นพบในปีเดียวกัน
สถาบันนานาชาติเพื่อการสำรวจสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ หรือไอไอเอสอี (International Institute for Species Exploration: IISE) มหาวิทยาลัยแอริโซนาสเตต (Arizona State University) สหรัฐอเมริกา และคณะกรรมการนักอนุกรมวิธานนานาชาติ ไดัคัดเลือกสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่จากทั่วโลกกว่าหลายพันสปีชีส์ให้เหลือเพียง 10 สปีชีส์ เพื่อขึ้นบัญชีสุดยอดการค้นพบสปีชีส์ใหม่แห่งปี 2009 ซึ่งได้มีการประกาศผลการคัดเลือกไปเมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพพอดี และมีสปีชีส์ใหม่ที่พบในไทยได้ติดอันดับโลกด้วย
"คณะกรรมการตัดสินแต่ละคนมีอิสระในการคัดเลือกและกำหนดเกณฑ์การตัดสินของตัวเองจากคุณลักษณะที่แปลกใหม่หรือความจริงที่น่าประหลาดใจ รวมไปถึงชื่ออันแปลกประหลาดของสปีชีส์นั้นๆ" เควนติน วีลเลอร์ (Quentin Wheeler) ผู้อำนวยการสถาบันไอไอเอสอี และนักกีฏวิทยาจากสถาบันชีววิทยาศาสตร์ (School of Life Sciences) เผยไว้ในไลฟ์ไซน์ด็อตคอม
ทั้งนี้ การจัดอันดับ 10 สุดยอดการค้นพบสปีชีส์ใหม่แห่งปี 2009 ในปีนี้นับเป็นปีที่ 3 แล้ว ซึ่งในจำนวนนั้นมี "ทากทะเล" ชนิดใหม่ของโลก ที่ค้นพบในประเทศไทยรวมอยู่ด้วย โดยสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ทั้ง 10 สปีชีส์ มีดังนี้ (ไม่เรียงอันดับ)
แมงมุมสีทองสปีชีส์ใหม่ที่พบบนเกาะมาดาร์กัสการ์ เป็นแมงมุมสีทองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และสามารถถักทอใยแมงมุมได้ใหญ่กว่า 1 เมตร (ภาพจาก IISE)
1. แมงมุมสีทองของโคแมค (Komac's golden orb spider) หรือชื่อวิทยาศาสตร์ว่า เนฟิลา โคมาชิ (Nephila komaci) เป็นสปีชีส์แรกในสกุลเนฟิลาที่ถูกกล่าวขานถึงมาตั้งแต่เมื่อปี 1879 แต่เพิ่งจำแนกได้ว่าเป็นแมงมุมสปีชีส์ใหม่ตามหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์และได้รับการตีพิมพ์รายงานการค้นพบเมื่อปี 2009 โดย เอ็ม คุนต์เนอร์ (M. Kuntner) นักวิจัยของสถาบันชีววิทยาแห่งวิทยาลัยศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์สโลวีเนียน (Institute of Biology of the Slovenian Academy of Sciences and Arts) และ โจนาธาน คอดดิงตัน (Jonathan Coddington) นักวิทยาศาสตร์จากพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาสมิธโซเนียน (Smithsonian's National Museum of Natural History)
แมงมุมชนิดนี้สามารถถักทอใยแมงมุมที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ใหญ่กว่า 1 เมตร โดยที่แมงมุมตัวเมียที่สร้างใยขึ้นมานั้นเมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดยาวประมาณ 3.8-4.0 เซนติเมตรเท่านั้น ขณะที่แมงมุมตัวผู้มีขนาดเพียง 0.8-09 เซนติเมตร หรือเล็กกว่าราว 5 เท่า มีถิ่นอาศัยอยู่ในมาดากัสการ์ ซึ่งคุนต์เนอร์ตั้งชื่อสปีชีส์ให้ว่า โคมาชิ เพื่อรำลึกถึงแอนเดรจ โคแมค (Andrej Komac) นักวิทยาศาสตร์ผู้ที่เป็นเพื่อนรักที่สุดของเขาที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในระหว่างที่พวกเขากำลังศึกษาวิจัยแมงมุมชนิดนี้
ปลาแดร็กคูลา ตัวเล็กจิ๋ว แต่มีเขี้ยวยาวคล้ายค้างคาวดูดเลือดในตำนาน (ภาพจาก IISE)
2. ปลาแดร็กคูลา (Dracula fish) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า แดนิโอเนลลา แดร็กคูลา (Danionella dracula) เป็นปลาน้ำจืดที่พบในแม่น้ำ Sha Du Zup รัฐคะฉิ่น สหภาพพม่า ตัวผู้มีเขี้ยวยาวแหลมคมคล้ายสุนัขหรือค้างคาวดูดเลือดในตำนาน และนี่ยังเป็นการรายงานการค้นพบอวัยวะที่มีลักษณะคล้ายฟัน (oral teeth-like structures) ของสัตว์ในวงศ์ไซพรินิเด (Cyprinidae) หรือวงศ์ปลาตะเพียน ซึ่งเป็นวงศ์ของปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ฟองน้ำเพชฌฆาต ฟองน้ำสปีชีส์ใหม่ที่มีโครงสร้างแตกต่างจากฟองน้ำชนิดอื่นๆ (ภาพจาก IISE)
3. ฟองน้ำเพชฌฆาต (killer sponge) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า คอนโดรคลาเดีย (เมลิเดอร์มา) เทอร์บิฟอร์มิส [Chondrocladia (Meliiderma) turbiformis] อยู่ในวงศ์คลาโดไรซิเด (Cladorhizidae) เป็นวงศ์ฟองน้ำในทะเลลึกที่กินสัตว์เป็นอาหาร มีความหลากหลายสูง พบในทะเลเปิดทั่วไป โดยเฉพาะในมหาสมุทรแปซิฟิก พบครั้งแรกในประเทศนิวซีแลนด์ มีลักษณะพิเศษคือโครงสร้างส่วนของสปิคูลไม่เหมือนฟองน้ำชนิดอื่น (เป็นแบบ trochirhabd spicule)
"ไอ้เท่ง" ทากทะเลสปีชีส์ใหม่ของโลกพบที่ป่าชายเลนในปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช มีตัวสีดำและหน้าตาละม้ายคล้ายกับ "ไอ้เท่ง" ตัวละครในหนังตะลุงของปักษ์ใต้บ้านเรา (ภาพจาก IISE)
4. ไอ้เท่ง (Aiteng) เป็นทากทะเลสปีชีส์ใหม่และวงศ์ใหม่ของโลกด้วย โดยจัดอยู่ในวงศ์ไอเทงกิเด (Aitengidae) ถูกค้นพบเมื่อปี 2009 บริเวณร่องน้ำในป่าชายเลนที่อ่าวปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช โดยทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ที่นำโดย ดร. ซี สเวนเนน (Dr. C.Swennen) นักวิจัยจากประเทศเนเธอร์แลนด์ และนายสมศักดิ์ บัวทิพย์ นักวิทยาศาสตร์ จากแผนกชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ไอ้เท่งมีขนาดประมาณ 6-17 มิลลิเมตร ลำตัวมีสีดำ กินแมลงในระยะดักแด้เป็นอาหาร ซึ่งแตกต่างจากทากทะเลวงศ์อื่นๆ ที่มักกินสาหร่ายเป็นอาหาร สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ คล้ายกับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำทั่วๆไป ซึ่งความพิเศษนี้พบได้น้อยมากในทากทะเลที่มีการค้นพบหรือมีการศึกษาอยู่แล้วในปัจจุบัน และทีมวิจัยได้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ให้ว่า ไอเทง เอเตอร์ (Aiteng ater) ซึ่งชื่อสกุล Aiteng ตั้งตามจากชื่อตัวหนังตะลุงของปักษ์ใต้ที่ชื่อ "ไอ้เท่ง" ที่มีลักษณะตัวสีดำและมีตาคล้ายกับสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ ส่วนชื่อสปีชีส์ ater มาจากภาษาลาติน หมายถึง สีดำ (ข้อมูลจากเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์)

ตัวระเบิดเขียว หนอนทะเลชนิดใหม่ สร้างระเบิดเรืองแสงสีเขียวได้ไว้ป้องกันตัวเอง (ภาพจาก IISE)
5. ระเบิดเขียว (Green bombers) พบที่อ่าวมอนเตอเรย์ (Monterey Bay) มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า สวิมา บอมบิวิริดิส (Swima bombiviridis) เป็นหนอนทะเลชนิดหนึ่งที่สามารถทิ้งระเบิดเรืองแสงสีเขียวที่ดัดแปลงมาจากอวัยวะส่วนเหงือกเพื่อป้องกันตัวเองจากศัตรูคู่อาฆาต

ปลากบไซเดลิกา ปลากบสปีชีส์ใหม่ หน้าแบนราบ มีสีสันลวดลายชวนเวียนหัว (ภาพจาก IISE)
6. ปลากบไซเซเดลิกา (Psychedelic frogfish) หรือชื่อวิทยาศาสตร์ว่า ฮิสทิโอฟไรน์ ไซเซเดลิกา (Histiophryne psychedelica) ซึ่งเป็นปลากบที่มีรูปลักษณ์อันน่าพิศวงงงงวยที่ดูแล้วชวนประสาทหลอน และมีใบหน้าแบนราบแตกต่างจากปลากบชนิดอื่นๆ พบครั้งแรกที่ประเทศอินโดนีเซีย

ปลาไฟฟ้าที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เป็นต้นแบบศึกษาการสร้างกระแสไฟฟ้าในร่างกายของสิ่งมีชีวิต (ภาพจาก IISE)
7. ปลาไฟฟ้า (Electric fish หรือ Omars' banded knifefish) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า จิมโนตัส โอมาโรรัม (Gymnotus omarorum) พบในประเทศอุรุกวัยซึ่งตั้งชื่อตามของ โอมาร์ มาคาดาร์ (Omar Macadar) และโอมาร์ ทรูจิลโล-เคนอซ (Omar Trujillo-Cenoz) สองนักวิทยาศาสตร์ผู้ริเริ่มศึกษาการสร้างกระแสไฟฟ้าของปลาในสกุลจิมโนตัส ซึ่งปลาสปีชีส์นี้ถูกใช้เป็นต้นแบบในการศึกษาเกี่ยวกับสรีรวิทยาและการสื่อสารด้วยกระแสไฟฟ้ามาเป็นเวลาหลายสิบปี โดยก่อนหน้านั้นนักวิทยาศาสตร์ในอุรุกวัยเคยอ้างผิดว่าเป็นปลาสปีชีส์ จิมโนตัส คาราโป (Gymnotus carapo)


10 อันดับสิ่งที่ไม่ควรไปกราบไหว้ (ขอเลขเด็ด) ยังจำข่าวเหล่านี้ได้ใหม
10 ไข่นกกระจอกเทศ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงามีชาวประมงพบไข่ขนาดใหญ่ขนาดเท่าลูกมะพร้าว ซึ่งเจ้าของไข่เปิดเผยว่าขณะที่เขาตระเตรียมอวนตาข่ายเพื่อหาปลาได้สังเกต เห็นวัตถุสีขาวลักษณะกลมรีคล้ายไข่ไก่ แต่มีขนาดใหญ่ผิดปกติตั้งอยู่บนพื้นในพงหญ้า จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆพบว่าลักษณะภายนอกเปลือกแข็งเหมือนไข่ทั่วไป มีสีขาวครีม ส่งกลิ่นคาวซึ่งชาวบ้านบางคนคาดว่าสัตว์ที่เป็นเจ้าของคงจะตัวใหญ่มากและ บริเวณที่พบมีน้ำลึกมาก อาจมีสัตว์น้ำขนาดใหญ่มาอาศัยอยู่ขณะเดียวกันบริเวณนั้นอยู่ห่างจากทะเล ประมาณ 700 เมตรถือว่าไม่ไกลมากนักอาจมีสัตว์บางชนิดขึ้นมาจากทะเลแล้ววางไข่ก็เป็นได้ จึงมีการจุดธูปกราบไหว้บูชาและใช้แป้งโรยไปที่ไข่(หมายถึงไข่ใบที่เก็บมาจาก ทะเล) แล้วใช้มือลูบหวังให้เห็นเลขเด็ด เหตุผลที่ไม่ควรกราบไหว้... นางระวีวรรณ ยิ่งวรรณศิริ หัวหน้าปศุสัตว์ จ.พังงา เปิดเผยว่าไข่ที่พบน่าจะเป็นไข่ของนกกระจอกเทศโดยที่จังหวัดพังงามีฟาร์มนก กระจอกเทศอยู่ 2-3 แห่งลูกจ้างของเจ้าของฟาร์มอาจจะขโมยมาจากที่อื่น แล้วนำมาทิ้งไว้เพื่อจะนำไปปรุงรับประทาน เพราะไข่นกกระจอกเทศนั้นมีราคาแพงมาก ใบละ 100กว่าบาท แต่เพื่อมั่นใจว่าใช่หรือไม่ ใช่ ต้องนำไข่ไปพิสูจน์ในห้องแล็บแต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะจากการสอบถามเจ้าของไข่แล้ว ไม่ยอมให้นำไปพิสูจน์และขณะนี้พบว่าไข่เริ่มมีกลิ่นเหม็นเน่าแล้ว |
9 ต้นหว้า วันที่ 15 กุมภาพันธ์ ปีนี้ ที่ อำเภอชุมพวง จังหวัดนครราชสีมาชาวบ้านจำนวนมากแห่ไปมุ่งดูและกราบไหว้ต้นหว้าที่มีน้ำไหล ออกมาอย่างขาดสายเจ้าของที่ดินกล่าวว่า ตนเองกำลังจะตัดต้นไม้ต้นดังกล่าวเพื่อต้องการไถดินเพื่อนำนาแต่หลังจากทำ งานมาตลอดทั้งวันจึงได้หยุดพักโดยได้นั่งหลบแดดอยู่ใต้ต้นไม้ดังกล่าวซึ่ง เป็นต้นหว้าแต่เมื่อนั่งไปได้ระยะหนึ่งรู้สึกว่ามีหยดน้ำไหลออกมาจากต้นไม้ ดังกล่าวเป็นจำนวนมากจึงเริ่มเดินตรวจสอบบริเวณต้นไม้จึงพบว่ามีหยดน้ำที่ ไหลลงมาจากต้นไม้และไม่ใช่หยดน้ำที่เกิดจากน้ำค้างอย่างแน่นอนและเมื่อข่าว แพร่สะพรัดออกไปชาวบ้านจำนวนมากต่างพากันมาดูพร้อมกับน้ำภาชนะมารองรับน้ำ เพื่อนำกลับไปดื่มและอาบเพราะเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์อีกทั้งชาวบ้านบาง ส่วนยังเชื่ออีกว่าน้ำที่หยดลงมานั้นเป็นหยดน้ำตาของต้นไม้ที่เสียใจว่าจะ ต้องถูกตัดทิ้งจึงได้ร้องไห้ออกมาอย่างไรก็ตามหลังจากนี้ไปตนเองคงจะไม่กล้า ที่จะตัดต้นไม้ต้นนี้ทิ้งอย่างแน่นอนเนื่องจากชาวบ้านต่างมามุงดูและไม่ยอม ให้ตนเองตัดทิ้ง เหตุผลที่ไม่ควรกราบไหว้... ต้นไม้ดังกล่าวเป็นต้นหว้าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติความสูงประมาณ 15 เมตรมีอายุราว 20 ปี ซึ่งต้นว่าเป็นต้นไม้ที่รับประทานผลได้ส่วนสาเหตุของเรื่องประหลาดที่มีน้ำ หยดลงมานั้นจากการตรวจสอบพบว่าน้ำได้ไหลออกมาจากส่วนใบ ผ.ศ. ยงยุทธ์ จรรยารักษ์กล่าวว่านี่เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดจากปัจจัยต่างๆ ที่เหมาะสม เช่น ความชื้นความกดอากาศ สภาวะแวดล้อม และ กระบวนการหาอาหารของต้นไม้ซึ่งในบางครั้งที่อากาศมีความชื้นสัมพันธ์สูงน้ำ จะระเหยเป็นไอสู่บรรยากาศได้น้อยลง ทำให้การคายน้ำลดลงแต่แรงดันน้ำในต้นพืชยังสูงอยู่จึงสามารถพบหยดน้ำที่ บริเวณกลุ่มรูเปิดที่ผิวใบซึ่งเรียกว่า ไฮดาโทด(hydathode) มักพบอยู่ใกล้ปลายใบหรือขอบใบตรงตำแหน่งของปลายท่อลำเลียงการคายน้ำในลักษณะ นี้เรียกว่า กัตเตชัน (guttation)ทำให้พืชสามารถดูดน้ำทางรากเข้าไปใช้ได้ไม่ได้เกิดจากความเศร้า เสียใจของต้นไม้แต่อย่างใด |
8 ควาย บ่ายวันที่ 23 กันยายน 2550ได้มีชาวบ้านจากทั่วสารทิศในจ.ศรีสะเกษจำนวนมากนำดอกไม้ธูปเทียนมากราบ ไหว้ลูกควายประหลาดมีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนถูกจัดวางให้อยู่ในสภาพนอนหงาย แขนขากางออกจากกันลักษณะเหมือนกับท่าทางคนนอนหลับ เจ้าของลูกควายประหลาดเปิดเผยว่า มีควายอยู่ทั้งหมด 9 ตัว โดยแม่ของลูกควายประหลาดนี้เป็นตัวที่5 ได้ตกลูกออกมาเมื่อ มีลักษณะประหลาดท่าทางเหมือนคนทุกอย่าง ตั้งแต่ศีรษะปาก จมูกหู รวมทั้งขาทั้ง 4 ข้าง (เหมือนคนทุกอย่าง???)แต่ไม่มีอวัยวะแสดงลักษณะของเพศผู้หรือเพศเมียและลูก ควายประหลาดได้เสียชีวิตทันทีตั้งแต่แรกตนกับสามีจึงได้นำซากควายประหลาดไป ฝังดินไว้ในนาของตัวเองชาวบ้านบางส่วนได้นำน้ำปะพรมบนซากควายประหลาดและเอา แป้งทาตามร่างของซากลูกควายเพื่อขอหวยตามความเชื่อของตัวเองอย่างคึกคัก พร้อมนำเงินมาทำบุญใส่ในขันเงินและหยอดตู้ไม้ตามแต่ศรัทธา เหตุผลที่ไม่ควรกราบไหว้... หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรมบ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่าอาตมาเห็นว่าการที่ชาวศรีสะเกษพากันแห่ไปกราบไหว้ซากลูกควายประหลาด นี้ถือว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่สามารถจะทำได้แต่ว่าตามหลักธรรมคำสอนของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติไว้ว่าจะต้องให้พุทธศาสนิกชนไปกราบ ไหว้ซากสัตว์แต่อย่างใด |
7 เห็ดเขาเหม็น เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมามีชาวบ้านล่ำลือกันว่าพบเห็ดประหลาดโผล่ขึ้นมามีลักษณะ คล้ายกับหนวดปลาหมึกสูงประมาณ 7-8 นิ้ว โผล่ชูหนวดขึ้นมาประมาณ 8-9หนวดแถมยังมีน้ำคล้ายน้ำเมือก เจ้าของเห็ดกล่าวว่าก่อนหน้านี้ตนก็ได้ฝันเห็นงูสีปีกแมงทับเขียวมรกตขนาด ใหญ่ 3 ตัวในฝันนั้นบอกว่างูทั้ง 3ตัวเป็น**เมียและลูกได้มาเกี้ยวพันกันอยู่ในขื่อภายในบ้านของตนแต่ก็ไม่ ได้ฝันอะไรต่อไปอีกจึงทำให้ตนสงสัยว่าจะเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ หรือไม่เพื่อความสบายใจของประชาชนในละแวกนี้และผู้ที่พบเห็นตนจึงได้นำ ดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาเพื่อให้สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเหตุที่ดีแก่ครอบครัว และชุมชน เหตุผลที่ไม่ควรกราบไหว้... เช่นเดียวกับเห็ดมือผีที่โด่งดังเมื่อหลายปีก่อนเห็ดชนิดนี้อยู่ในกลุ่ม ของเห็ดเขาเหม็น (Stink Horn) เห็ดกลุ่มนี้มีลักษณะพิเศษคือจะส่งกลิ่นเหม็นเมื่อดอกเห็ดแก่เพื่อดึงดูด แมลงให้มาตอมซึ่งจะทำให้สปอร์ติดตัวไปกับแมลงเพื่อกระจายพันธุ์ยังที่อื่น ได้เป็นเห็ดที่มีลักษณะแตกต่างไปจากราทั่วไป คือบางชนิดมีรูปร่างคล้ายการพนมมือไหว้ เช่น เห็ดในสกุล Pseudocolusหรือบางชนิดอาจมีลักษณะคล้ายเขาสัตว์ |
6 ปลาจระเข้ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ปีที่แล้วชาวปทุมธานีพบกับปลาประหลาดที่ลำตัวมีเกล็ดสีดำเทาเงา คล้ายเกล็ดงูเห่ามีลิ้น 2 แฉก ลักษณะแฉกมนคล้ายรูปหัวใจ และมีกลิ่นคาวปลาเหม็นแรงกว่าปลาชนิดอื่นๆ มีความแปลกเหมือนมีลักษณะของอวัยวะในส่วนต่างๆของปลา งู จระเข้ รวมกัน ซึ่งเจ้าของปลาดังกล่าว เล่าว่าตนฝันแปลกๆฝันเห็นว่ามีผู้หญิงแก่เดินเข้ามาหาและจับมือตนไว้ จากนั้นเข้ามากอดเมื่อหญิงแก่คนนั้นกอดตนแล้วสภาพร่างกายของหญิงแก่ก็กลาย สภาพเน่าเฟะเหม็นเหมือนศพ จากนั้นตนสะดุ้งตื่น ตอนเช้ามาจึงใส่บาตรทำบุญและจุดธูปไหว้ขอขมา ซึ่งชาวบ้านที่เข้ามาดูต่างพากันมาลูบที่ตัวปลามีบางคนมาขอเกล็ดไปไว้บูชา ที่บ้านบ้าง จุดธูปไหว้บ้างวันนั้นทั้งวันตนไม่เป็นอันขายของเพราะต้องเดินเข้าออกไปมา หยิบปลาประหลาดให้ชาวบ้านที่แห่มาขอดู เหตุผลที่ไม่ควรกราบไหว้... ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่าจากการตรวจสอบในเบื้องต้นทราบว่า ปลาที่พบคือ ปลาจระเข้หรือปลาอัลลิเกเตอร์ การ์ อาศัยอยู่มากในแถบรัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกาสำหรับปลาชนิดนี้เป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหารโดยส่วนมาก ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย เพื่อเลี้ยงเป็นปลาสวยงามและเลี้ยงไว้ในบ่อตกปลาปลาในข่าวอาจจะมีผู้นำมา เลี้ยงเมื่อเกิดเบื่อก็นำมาปล่อยทิ้งหรืออาจจะหลุดออกมาในช่วงน้ำท่วม ซึ่งในปีพ.ศ.2545ทางกรมประมงประกาศห้ามนำเข้าปลาจระเข้ เนื่องจากเป็นปลากินเนื้ออาจทำลายระบบนิเวศของแหล่งน้ำ ด้วยการกินปลาพื้นเมืองที่มีขนาดเล็กกว่าจนทำให้ระบบนิเวศเกิดความเสียหาย หรือปลาอาจสูญพันธุ์ได้ |
5 ต้นบุก ในวันที่ 24 เมษายน 2550 ชาวบ้านเมืองพิจิตร ต่างมาชุมนุมกันหลังทราบข่าวว่าที่บ้านหลังดังกล่าวมีต้นไม้ประหลาดผุดขึ้น มาจากพื้นดินมีลักษณะคล้ายพานพุ่มที่จัดวางบนโต๊ะหมู่บูชา โดยต้นไม้ดังกล่าวสูงประมาณ25 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตรซึ่งหากมองจากทางด้านข้างจะเห็นคล้ายพานพุ่มแต่ถ้ามองจากด้านบนจะ คล้ายใบโพธิ์เรียงล้อมรอบ ชาวบ้านที่เดินทางมาดูต้นไม้ประหลาดดังกล่าวต่างพากันจุดธูปเทียนกราบไหว้ พร้อมทั้งบนบานขอให้มีโชคลาภเพราะลือกันว่าในงวดที่ผ่านมามีผู้ถูกรางวัลเลข ท้ายสองตัวจากจำนวนก้านธูปที่คนนำมากราบไหว้กัน เหตุผลที่ไม่ควรกราบไหว้... มันคือต้นบุก ซึ่งอยู่ในวงศ์เดียวกับต้นบอน (Araceae) เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นอวบไม่มีแก่น สูง 3-6 ฟุต มีดอกสีม่วงเหมือนดอกหน้าวัว เป็นพืชท้องถิ่นของประเทศญี่ปุ่น จีน ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดจีน ในประเทศไทย คนไทยใช้เป็นอาหารกันมาช้านานแล้ว โดยใช้ต้นใบ และหัวบุกมาทำขนม เช่น ขนมบุกแกงบวชมันบุก แกงอีสาน (แกงลาว) ซึ่งการนำบุกมาทำอาหารจะแตกต่างกันในแต่ละภาค นอกจากประโยชน์ดังกล่าวแล้วบุกใช้เป็นไม้ประดับที่สวยงามโดยนักจัดสวนนิยมนำ มาประดับตามใต้ร่มเงาของไม้ยืนต้นที่มีป่าโปร่งหรือจะนำมาใส่กระถางเป็นไม้ ประดับ |
4 จิ้งจก ในเวลาราวๆ ตีสาม เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมาซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชาที่บ้านหลังหนึ่งใน อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเจ้าของบ้านตื่นขึ้นมากลางดึกและจิ้งจกสีแดงตัวหนึ่ง เกาะอยู่ในมุ้งซึ่งตอนแรกเจ้าของบ้านก็ไม่ได้สนใจอะไรและนอนหลับไปจนกระทั่ง เช้าจิ้งจกสีแดงก็ยังเกาะอยู่ที่เดิมจึงอธิษฐานจิตบอกจิ้งจกตัวนั้นว่า "อยากอยู่ด้วยกันก็ได้"พร้อมทั้งยกมือไหว้แล้วเอื้อมมือไปจับจิ้งจกได้อย่าง ง่ายดายโดยมันไม่ได้คลานหลบหนีไปไหน และได้ไปนำเอาตู้ปลามาใส่เลี้ยงไว้พร้อมตั้งชื่อเจ้าจิ้งจกสีแดงว่า "ถุงเงินถุงทอง"โดยจิ้งจกตัวดังกล่าวมีสีแดงทั้งตัว ขนาดความยาวประมาณ 10 เซนติเมตรนอกจากนี้นิ้วเท้าทั้ง 4 ข้าง ยังแปลกประหลาดกว่าจิ้งจกทั่วไปซึ่งปกติจะมีนิ้วข้างละ 4 นิ้ว แต่จิ้งจกสีแดงดังกลาวมีนิ้วข้างละ 5 นิ้วเจ้าของบ้านจับใส่ไว้ในตู้ปลามีมุ้งลวดปิดคลุมไว้ซึ่งบริเวณแผ่นกระจก ด้านนอกตู้ ได้มีชาวบ้านนำแผ่นทองคำเปลวมาปิดไว้บางรายนำผ้าแพร 3 สี และพวงมาลัยมาผูกไว้ที่หน้าตู้ประชาชนที่เดินทางไปดูจิ้งจกสีแดงต่างแสดง ความตื่นเต้นประหลาดใจบางคนก็พูดว่าเป็นมันเป็นจิ้งจก นปช. เหตุผลที่ไม่ควรกราบไหว้... นายอรรถกร สุขทวี ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ปีกและสัตว์เลื้อยคลาน สวนสัตว์ดุสิตกล่าวว่ายังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าจิ้งจกดังกล่าวเป็นสายพันธุ์ อะไรเนื่องจากยังไม่เห็นตัวจริง แต่เบื้องต้นจากลักษณะที่บอกคาดว่าอาจเป็นจิ้งจกสายพันธุ์ต่างประเทศที่มี ผู้นำเข้ามาเลี้ยงแต่ยังไม่สามารถระบุชื่อพันธุ์ได้ชัดๆ เพราะไม่มีในเมืองไทย ทั้งนี้ปัจจุบันมีผู้นิยมนำสัตว์เลื้อยคลานจากต่างประเทศเข้ามาเลี้ยงเป็น จำนวนมาก- อย่างไรก็ดีทางผู้ชื่นชอบสัตว์เลื้อยคลานจากเว็บ siamreptileเชื่อว่าเป็นจิ้งจกบ้านหางอ้วนตัวเมียที่ตกถังสีมาและยังกล่าว ไว้ว่าจิ้งจกดังกล่าวนั้นมี 5นิ้วอยู่แล้วไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด |
3 เสาอาคาร เรื่องเล่ามีอยู่ว่า มีคนงานสาวชาวพม่าตกลงไปในแบบหล่อเสา ขนาดใหญ่แต่เพื่อนคนงานไม่รู้เลยเทปูนซีเมนต์ทับลงไป ทำให้ฝังร่างเหยื่อทั้งเป็นมารู้อีกครั้งก็ตอนแกะแบบเหล็กออกไปแล้วจึงเห็น เป็นรูปตัวคนปรากฏอยู่ในเสาวิศวกรคุมงานสั่งให้คนงานช่วยกันกะเทาะคอนกรีต เพื่อนำศพออกมาแต่เนื่องจากคอนกรีตหล่อเสาดังกล่าวมีความแข็งมากจึงนำศพออก มาได้เพียงบางส่วนจากนั้นวิศวกรจึงสั่งให้อัดซีเมนต์เข้าไปในรอยกะเทาะดัง เดิมและฉาบปูนปิดทับแต่ก็ยังคงปรากฏเป็นรอยปะอยู่ที่เสาสองรอยซึ่งบริเวณตรง กลางเสาต้นดังกล่าวมีร่องรอยการฉาบปูนซีเมนต์ขนาดใหญ่ปิดทับอยู่ 2 จุดลักษณะคล้ายถูกเจาะเนื้อปูนเดิมออกแล้วมีการฉาบปูนใหม่ปิดทับผิดกับเสา ต้นอื่นที่จะมีลักษณะของเนื้อปูนที่ราบเรียบสม่ำเสมอเป็นเนื้อเดียวกัน โดยบริเวณรอยฉาบปูนมีคราบแป้งคล้ายมีคนมาถูหาตัวเลขและมีแผ่นทองคำเปลวมาติด ที่ต้นเสาเพื่อขอหวยนอกจากนี้ยังมีผู้นำสายสร้อยลูกปัดมาแขวนไว้คล้ายเป็น เครื่องเซ่นไหว้สักการะ ทางรายการเรื่องจริงผ่านจอได้ติดต่อไปทางวิศวกรผู้สร้างอาคารดังกล่าวและ ได้คำอธิบายว่าโครงสร้างของเสาที่อาคารหลังนั้นเป็นโครงสร้างคอนกรีตเสริม เหล็กเป็นเสาขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 60 เซนติเมตรซึ่งภายในเสาจะเสริมด้วยเหล็กเสริมขนาด 28 มิลลิเมตรมัดรวมกัน จำนวน 60เส้น ซึ่งรอยปูนนั้นเกิดจากการไหลเวียนขอวงน้ำปูนขณะเทคอนกรีดบางช่วงน้ำปูนไหล ไม่สะดวกซึ่งเกิดจาการติดเหล็กเส้นจำนวนมากทำให้เกิดรอยดังกล่าว และในขณะทำการหล่อเสานั้นจะมีการตรวจสอบที่ละเอียดอย่างต่อเนื่องทั้งก่อน การเทคอนกรีต ขณะเทคอนกรีต และหลังการเทคอนกรีตถ้ามีสิ่งแปลกปลอมใดๆเช่นเศษลวดหรือเศษไม้ทางผู้ตรวจสอบ จะไม่อนุมัติให้เทปูนจึงยากที่จะมีวัสดุแปลกปลอมหลุดเข้าไปได้ นอกจากนี้แล้วจำนวนเหล็กเสริมที่ผูกเรียงกันข้างในนั้นทำให้มีพื้นที่ภายใน เสาเพียง 35เซนติเมตร ซึ่งแคบกว่าคนจะเข้าไปได้นอกจากนี้แล้วอาจารย์ภาควิศวกรรมโยธาแห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้นำเอาเครื่อง Ultra Sonic ไปตรวจสอบ และไม่พบว่ามีสิ่งแปลกปลอมใดๆอยู่ในเสาต้นนั้นอย่างที่ข่าวลือกล่าวไว้เลย |
2 แผ่นเจลลดไข้ เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2549 เกิดพายุฝนตกฟ้าคะนองอย่างรุนแรงที่อำเภอลานสักจังหวัดอุทัยทานี และปรากฎวัตถุเรืองแสงคล้ายผีพุ่งไต้หล่นลงมาจากฟากฟ้าเมื่อพายุสงบลงเจ้า ของบ้านหลังหนึ่งได้พบสิ่งมีชีวิตประหลาดมีลักษณะคล้ายตัวหนอนเป็นปล้อง สีขาวเป็นวุ้น ข้างในลำตัวมีลักษณะสีขาวขุ่นคล้ายเป็นแกนน้ำแข็ง มีจุดเล็ก ๆ 2 จุดคล้ายตาและมีติ่งยื่นออกมาคล้ายใบหูมีขนาดเท่าฝ่ามือ ซึ่งพอจับจะหดตัว แต่พอใส่ในขวดโหลตัวจะพองใหญ่ขึ้นเจ้าของบ้านหลังนั้นจึงนำธูป หมากพลูและดอกไม้มาบูชาเชื่อว่าหากใครมีในครอบครอง 7 อัน (เช่นเดียวกับดราก้อนบอล)จะทำให้เจริญรุ่งเรือง สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้มากไปกว่านั้นยังนำเอาเนื้อเยื่อที่หลุดลุ่ยไป คลุกเคล้ากับข้าวกินกันในครอบครัวอีกด้วย ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวมีประชาชนเดินทางไปดูเป็นจำนวนมากทั้งนี้ชาวบ้าน เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ฟ้าประทานมาให้ก่อนจะลงมือจุดธูปเทียนขอเลขเด็ดไปเเทง หวย เลขที่ได้รับความสนใจคือ 115เเละ 17 โดยตัวเเรกเป็นเลขที่บ้าน ส่วน 17เป็นจำนวนปล่องที่นับได้จากตัวหนอน จากข้อมูลที่ได้มาตามเว็บบอร์ดต่างๆว่าแท้จริงแล้วหนอนที่ตกมาจากฟ้านั้น นั้นเป็นเพียงเจลลดไข้ที่อมน้ำไว้ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์พันธุวิศวกรรมฯจึงได้ทดสอบนำหนอนประหลาดที่ส่งมาจาก ชาวบ้านมาเปรียบเทียบกับแผ่นเจลลดไข้ที่แช่น้ำไว้ พบว่าวัตถุทั้ง 2 ชิ้นมีลักษณะเหมือนกันทุกประการและหลังจากข่าวได้เผยแพร่ออกไปแผ่นเจลลดไข้ ก็ถึงกับขาดตลาดเนื่องจากผู้คนแห่กันไปซื้อมาเล่นโดยมีการนำเอาเอาแผ่นเจลมา ย้อมสีและทำการตกแต่งประดับไปด้วยวัสดุต่างๆเป็นที่สนุกสนานกัน |
1 น้ำท่อส้วม เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2550 ชาวบ้าน อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่และหมู่บ้านใกล้เคียงนับพันคนแห่มาดูสิ่งประหลาดในรั้วของบ้าน หลังหนึ่งที่มีน้ำผุดขึ้นจากดินไหลนองไปทั่วบริเวณ โดยชาวบ้านเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานมา ให้กับประชาชนที่ยากจนได้ใช้น้ำดังกล่าวไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บ และเป็นสิริมงคล เจ้าของพื้นที่ที่น้ำผุดขึ้นมา กล่าวว่าเห็นสนามหน้าบ้านผิดสังเกตตั้งแต่ในช่วงเช้าเมื่อตรวจสอบพบว่ามีน้ำ ซึมออกมาจากดิน เมื่อลองเอานิ้วเขี่ยดูน้ำยิ่งออกมากขึ้น จึงได้บอกให้ชาวบ้านมาดู ซึ่งคืนก่อนเกิดเหตุตนได้ฝันเห็นยายซึ่งเสียชีวิตไปแล้วมาเข้าฝันบอกว่าไม่ สบายอยากได้ยาพาราเซตามอล เมื่อตนเดินไปหยิบยามาให้ยายก็หายไปแล้วยายอาจมาเข้าฝันบอกเรื่องยารักษาโรค ในขณะตอนเช้าน้ำก็ผุดขึ้นมาทำให้นึกถึงฝันดังกล่าวและเชื่อว่าเป็นยารักษา โรคจึงได้เอาธูปเทียนดอกไม้มาบูชา และขอน้ำไปเก็บไว้เพราะเชื่อว่ารักษาโรคได้ชาวบ้านบางคนกล่าวว่าเข้าคิวรอ ตักน้ำตั้งแต่ทราบข่าวในตอนเช้ากว่าจะได้ตักน้ำก็เกือบเที่ยงโดยนำธูป เทียน-เงินถวายจำนวน 20 บาท วางใส่ในถาดดอกไม้คงเป็นบุญของชาวบ้านที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นใจชาวบ้านที่ อยู่ในสภาวะข้าวยากหมากแพง จึงประทานน้ำศักดิ์สิทธิ์มาให้รักษาโรคคนยากคนจนโดยชาวบ้านต่างรุมล้อมเพื่อ ขอตักน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปบ้านในขณะที่น้ำใต้ดินก็ผุดขึ้นมาตลอดเวลาชาวบ้านที่ นั่งรอน้ำผุดขึ้นมามีทั้งน้ำและฟองอากาศเมื่อชาวบ้านร้องขอให้แสดง ปาฏิหาริย์ให้ผุดฟองอากาศบ่อน้ำขนาดเล็กก็สำแดงให้เห็นทันที เมื่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจากโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ได้เดินทางมาที่เกิดเหตุเพื่อเก็บตัวอย่างน้ำ ในขณะที่จะเข้าไปตักน้ำปรากฏว่าน้ำที่ไหลออกมาอย่างรุนแรงหยุดทันทีและยุบ ตัวจนพื้นดินแห้งซึ่งหลังจากนั้นประมาณ 20 นาที น้ำก็ผุดขึ้นมาอีกทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าแพทย์ที่ไปเก็บตัวอย่างน้ำสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ไม่พอใจเมื่อไหลออกมาอีก นายสุรินทร์ นิภาโยธิน กำนันตำบลแม่จั๊วะได้นำลูกบ้านขุดหาที่มาของน้ำศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวก็พบท่อ เก่าเป็นท่อพีวีซีขนาด 6 หุน ซึ่งมีน้ำไหลออกมาเมื่อขุดตรวจสอบไปอีกจึงพบว่าเป็นท่อจากส้วมเก่าบ้านติด กันห่างจากจุดเกิดเหตุเพียง 4เมตรเท่านั้น ซึ่งกำลังมีการสร้างส้วมและกำลังทำการเปลี่ยนปั๊มน้ำเพื่อสูบน้ำเข้าไปใน ส้วมเมื่อชาวบ้านทราบว่าน้ำดังกล่าวมาจากท่อในส้วมเก่าหลายคนที่ดื่มน้ำ ศักดิ์สิทธิ์เข้าไปแล้วถึงกับอาเจียนออกมาทันที |
มาดูปลาทะเลน้ำลึกกัน
ลำตัวสีขาวซีด บริเวณจงอยปากมีสีดำ ส่วนหางขมวดเรียวเล็กแหลมคล้ายปลายก้นหอยทากทะเล
-------------------------------------------------------------------------
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Stauroteuthis Syrtensis
แหล่งที่พบ : Eastern USA, North Atlantic Ocean
ระดับความลึก : +500 ถึง +4000 เมตร (เขตชุกชุม +1500 ถึง +2500 เมตร)
ขนาด : มากกว่า 50 เซนติเมตร
ข้อสังเกต : ขณะว่ายน้ำขยายพองลำตัวบาน คล้ายกางร่มออก ปุ่มดูด (Sucker)
ที่อยู่ตามแนวเส้นเล็ก ชันตั้งขึ้นเหมือนหัวลูกศร เหนือผิวแนวเส้นแขน (หนวด)
บางครั้งชักหดกลับเข้าไป เป็นการแสดงอาการตกใจ ด้วยการเปล่งแสงสีแดง
จากลักษณะของ ชีวเปล่งแสง (Bioluminescent) และเป็นสัตว์มีเพศผู้-เพศเมีย
ชื่อสามัญ : Binocular fish (ปลากล้องสองตา) หรือ Spook fish (ปลาผี)
----------------------------------------------------------------------------------
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Winteria telescopa
แหล่งที่พบ : Eastern Atlantic: Gulf of Guinea, Western Pacific: Japan,
Australia,New Zealand, Tropical Indian Ocean
ระดับความลึก : +400 ถึง +2500 เมตร (เขตชุกชุม +500 ถึง +700 เมตร)
ขนาด : 15-20 เซนติเมตร
ข้อสังเกต : ลำตัวสีน้ำเงินเข้ม โดยสะท้อนแสงเป็นสีเงิน เคยสำรวจพบครั้งแรก
วัดขนาดดวงตาได้กว้างถึง 9.1 เซนติเมตร ลักษณะ เหมือนกล้องส่องทางไกล
แบบ Binocular (กล้องสองตา)
-------------------------------------------------------------------
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Marrus orthocanna
แหล่งที่พบ :
ระดับความลึก : +400 ถึง +3000 เมตร
ขนาด : 40 เซนติเมตร
ข้อสังเกต : Siphonophores เป็นกลุ่มสัตว์ ปะการังและแมงกระพรุน (ไม่มีกระ-
ดูกสันหลัง) มีรวมกว่า 170 สายพันธ์ เคยสำรวจพบความยาวถึง 40 เมตร แต่เล็ก
เรียวบาง ทั้งหมดมีลักษณะเหมือนวุ้น (Gelatinous material)
ในทะเลลึก มักมีสีส้มดำเข้ม มีความอ่อนแอ แตกหักง่าย และโปร่งแสงมองเห็น
ภายในได้ ถือว่าเป็น Bioluminescent (ชีวเปล่งแสง) โดยเมื่อถูกรบกวนจะเปล่ง
แสงสีเขียวและน้ำเงิน แหล่งอยู่อาศัยบริเวณผิวทะเลลึกที่สงบนิ่ง คอยใช้หนวด
จับสัตว์น้ำขนาดเล็กกินเป็นอาหา
--------------------------------------------------------
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Munnopsis
แหล่งที่พบ : North Atlantic Ocean
ระดับความลึก : +900 ถึง +3000 เมตร
ขนาด : ลำตัว 1-2 เซนติเมตร หนวดยาว 15 เซนติเมตร
ข้อสังเกต : สิ่งมีชีวิตบนพื้นดินก้าวขา บนพื้นดินไปแบบ 2 มิติ เพื่อเปิดอากาศ
แต่การเดินท่ามกลางน้ำรอบทิศ เป็นการก้าวขาแบบ 3 มิติ เพื่อเป็นการเปิดน้ำ
จึงเป็นกลไกที่ยากมาก ต่อการเดินท่ามกลางน้ำ (ซึ่งไม่ใช่การว่าย) โดยเฉพาะ
แมงมุมทะเลลึก ที่มีขายาวกว่าตัว 10-15 เท่า
--------------------------------------------------------------------
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Himantolophidae
แหล่งที่พบ : Atlantic, Indian, Pacific Ocean
ระดับความลึก : +1000 ถึง +4000 เมตร
ขนาด : 45 เซนติเมตรขึ้นไป สำหรับเพศเมีย
ข้อสังเกต : ลักษณะรูปร่าง ตัวทรงกลมเพศเมีย อาจมีขนาดถึง 2 ฟุต ส่วนเพศผู้
มีสัดส่วนเฉลี่ยเล็กกว่าเล็กน้อย เพศเมียโตเต็มวัย ส่วนหัวจะมีระยางค์งอกยื่น
ออกมา โดยส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อซึ่งมีลักษณะเป็นวุ้น ส่วนปลายเป็นลูกกลมและ
จากลูกกลมจะเป็นกระดูก (ก้าง) ที่แข็งแรง เป็นหนามแหลมๆ ต่อออกไปอีก
ส่วนเพศผู้จะไม่มีลักษณะดังกล่าว ส่วนปากของเพศเมียจะกว้างใหญ่ และมุมปาก
เฉียงเฉ โดยทั้งสองเพศมีสีเหมือนกันคือน้ำตาลแดง ตลอดชีวิต
--------------------------
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ :
แหล่งที่พบ :
ระดับความลึก : +1200 ถึง +1800 เมตร
ขนาด : 3-25 เซนติเมตร
แต่ก็สวยดีเนาะ
---------------------------------------------------
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Tiburonia granrojo
แหล่งที่พบ : Pacific Ocean off California, Hawaiian Islands and, Gulf of
California
ระดับความลึก : +650 ถึง +1500 เมตร
ขนาด : 1 เมตร
ข้อสังเกต : เป็นประเภทแมงกระพรุน สามารถขยายตัวได้กว่า 1 เมตร โดยแท้
จริงมิใช่แมงกระพรุนพันธ์ใหม่ แต่แตกต่างเพราะได้กำหนด ตระกูลย่อยใหม่
(New subfamily) ด้วยลักษณะพิเศษ ขนาดใหญ่ มีสีแดง และไม่มีหนวดเหมือน
แมงกระพรุนทั่วไปที่เคยพบ โดยใช้แขน (4-6 ชุด) ไว้คอยจับเหยื่อเป็นอาหาร
-------------------------------------------------------
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Grimpoteuthis
แหล่งที่พบ :
ระดับความลึก : +300 ถึง +500 เมตร
ขนาด : 1.5 เมตร
ข้อสังเกต : มีหูยื่นใหญ่ออกมาจากหัว เหมือนตัวการ์ตูนของ Walt Disney's ชื่อ
Dumbo (ช้าง) และมีความสามารถเปลี่ยนสี ชั้นใต้ผิวให้เป็นสีแดงได้ เพราะผิว
โปร่งแสง
-----------------------------------------------------------------------
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Amphitretus pelagicus
แหล่งที่พบ : เขตร้อน เช่น Indian, Pacific Oceans
ระดับความลึก : +100 ถึง +2000 เมตร
ขนาด : 30 เซนติเมตร
ข้อสังเกต : ลำตัวใส มองเห็นภายใน มีแขน (หนวด) 8 เส้น ดวงตาตาคล้ายหลอด
ท่อโผล่ออกมา ดูเสมือนคล้ายกำลังส่องกล้องทางไกล และกลอกกลิ้งไปมาได้