วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

7 สัตว์จากยุคดึกดำบรรพ์(น่ารัก)ที่ยังคงมีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้

Goblin Shark

http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=181957

ใช่แล้วฉลาม ฉลามถือได้ว่าเป็นสัตว์น่ากลัวที่อยู่คู่กับมนุษย์มาช้านาน และมันก็เคยอยู่ในยุคไดโนเสาร์เป็นใหญ่ด้วย

ฉลามก็อบบลินมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Mitsukurina Owstoni (ตั้งชื่อตามเรือประมงที่ค้นพบ) เป็นฉลามทะเลลึกที่พบความลึกประมาณ 250 เมตร ถึง 1,300 เมตร พบครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่นไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง ทั้งๆ ที่มันอยู่บนโลกยาวนานยาวนานตั้งแต่สมัยไดโนเสาร์แท้ๆ ปัจจุบันมันอาศัยอยู่ทั่วๆ ไปในแถบมหาสมุทรแปซิฟิคตอนใต้ ไล่ไปจนถึงมหาสมุทรแอตแลนติคและมหาสมุทรอินเดียตอนใต้ รูปร่างลักษณะก็เหมือนฉลามทั่วๆ ไปเพียงแต่สิ่งที่แตกคือ เป็นส่วนที่ยื่นออกมาจากหน้าผากมันหรือก็คือจมูกที่มีลักษณะแบนราบซึ่งจะ เป็นตัวช่วยให้ฉลามก็อบบลินหาเหยื่อได้ โดยจะมีอวัยวะที่ทำงานคล้ายเซนเซอร์ไฟฟ้าอยู่ข้างในจมูกของมัน คอยส่งสัญญาณให้ฉลามก็อบบลินรู้ว่าเหยื่ออยู่ที่ไหน ระยะทางเท่าไหร่ แต่บางทีมันก็ใช้การดมกลิ่นแทน ส่วนขนาดความยาวทั้งตัวตั้งแต่หัวถึงหางของฉลามก็อบบลินก็ยาวประมาณ 11-15 ฟุตหรือ 3.3 -4.5 เมตร

ปัจจุบันไม่มีรายงานการโจมตีของฉลามชนิดนี้เลยเพราะว่ามันมีมีจำนวนน้อยใกล้สูญพันธุ์ สาเหตุไม่ใช่มนุษย์หรอกครับ หากแต่ใต้ทะเลนั้นมืดมิด โอกาสที่จะได้เจอคู่ของมันนั้นยากมาก ทำให้ไม่มีโอกาสผสมพันธ์กัน......

Giant River stingray

http://th.wikipedia.org/wiki/%E

ปลากระเบนเปลือกแข็งยังคงอยู่ในบัญชีพงศาวดาวแห่งความหวาดกลัวอยู่ดี ด้วยความที่มันตัวใหญ่และมีพิษแถมอยู่ในน้ำอีก โอ้!! แค่นี้ก็น่ากลัวแล้ว

ขอแจ้งให้ทราบภาพที่เห็นไม่ได้ใช้ Photoshpped แก้ไข นี้คือความเป็นจริงที่ไทยเราติด มันน่ากลัวใช่เปล่า จู่ๆ เราก็ได้เห็นปลากระเบนยักษ์ขนาดนี้ในประเทศไทยแถบลุ่มแม่น้ำโขง ที่ยังคงหลงเหลือในยุคจูราสสิก เมื่อ 100 ล้านปีมาแล้ว

กระเบนราหู ได้ชื่อว่า "ราหู" เนื่องจากขนาดลำตัวที่ใหญ่เหมือนราหูอมจันทร์ตามคติของคนโบราณของเอเซีย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Himantura chaophraya เป็นปลากระเบนน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นปลากระเบนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากปลากระเบนแมนตา (Manta birostris) ที่พบได้ในทะเล โดยสามารถหนักได้ถึง 600 ก.ก. กว้างได้ถึง 2.5 - 3 เมตร มีลักษณะส่วนปลายหัวแหลม ขอบด้านหน้ามนกลมคล้ายใบโพ ลักษณะตัวเกือบเป็นรูปกลม ส่วนหางยาวไม่มีริ้วหนัง มีเงี่ยงแหลมที่โคนหาง 2 ชิ้น ที่เมื่อหักไปแล้วสามารถงอกขึ้นได้ กลางหลังมีเกล็ดเป็นตุ่มหยาบ ๆ ด้านบนของปีกและตัวเป็นสีเทาหรือน้ำตาลนวล หางสีคล้ำ ด้านล่างของตัวมีสีขาวนวล ที่ขอบปีกด้านล่างเป็นด่างสีดำ

กระเบนราหู อาศัยในแม่น้ำสายใหญ่ ๆ จนถึงบริเวณใกล้ปากแม่น้ำ พบครั้งแรกในแม่น้ำเจ้าพระยา จึงถูกตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific Name) ว่า "เจ้าพระยา" และยังพบในแม่น้ำสายอื่น ๆ เช่น แม่น้ำแม่กลอง บางปะกง แม่น้ำโขง บอร์เนียว นิวกินี จนถึงออสเตรเลียตอนเหนือจัดเป็นปลาน้ำจืดไทยอีกชนิดหนึ่งที่ใกล้จะสูญพันธุ์

Frilled shark

Frilled shark เป็นฉลามในสกุล Chlamydoselachusมีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Chlamydoselachus anguineus เดิมคิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่มีรายงานพบในหลายพื้นที่ รวมถึงในเขตน่านน้ำญี่ปุ่น ทำให้กลายเป็น“ฟอสซิลมีชีวิต” อีกชนิดหนึ่งที่ยังคงมีชีวิตเหลือรอดในยุคครีเทเชียส จนกระทั่งปัจจุบัน ช่วงศตวรรษที่ 19 ล่าสุดในเดือนมกราคมปี 2007 ชาวประมงญี่ปุ่นพบตัวที่ยังมีชีวิตอยู่ในเขตน้ำตื้นนอกชายฝั่งใกล้สวนน้ำอะวาชิมาในเมืองชิสึโอกาทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงโตเกียว ก่อนตายในเวลาต่อมา

นอกนี้มันน่าจะกระจายไปทั่วโลก ในน้ำลึกตั้งแต่ระดับ 400-4,200 ฟุต ทำให้เป็นฉลามที่หายาก พบมากในเขตใกล้นอร์เวย์ แอฟริกาใต้ นิวซีแลนด์ และชิลี (สำหรับตัวที่พบที่ญี่ปุ่นเชื่อว่าอาจขึ้นมาเหนือน้ำเพราะป่วยหรืออ่อนแอ ผลจากน้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น)


หน้าตาของฉลามชนิดนี้แตกต่างจากฉลามที่เรารู้จักกันทั่วไป เพราะคล้ายกับปลาไหลสีน้ำตาลหรือสีเทามากกว่า แต่การมีช่องเหงือก 6 คู่ เป็นจุดที่ยืนยันว่ามันคือฉลาม ตัวเต็มวัยยาวได้ถึง 6.5 ฟุต ส่วนตัวที่พบล่าสุดยาว 5.3 ฟุต และเป็นไปได้ว่ามันมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยดึกดำบรรพ์น้อยมาก มีฟันแตกเป็นดอกแหลม 3 แฉก คาดว่าเป็นนักล่าที่น่ากลัวตัวหนึ่ง แต่ไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์

Alligator Gar

อัลริเกเตอร์ เป็นปลาหน้าตาน่ากลัว ลักษณะ ลำตัวกลม ยาวเรียว ส่วนหัวจะเล็ก ลง ปากยาว โคนหางด้านบน จะยาวกว่าโคนหางด้านล่าง อย่างเห็นได้ชัดแพน ปากมีลักษณะคล้ายสัตว์เลี้อยคลานและขากรรไกลฟันคมยาวเป็นอาวุธ พบทางภาคใต้ของสหรัฐอเมริกาและทางภาคเหนือและภาคตะวันออกของเม็กซิโก เป็นปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ(แม้บางครั้งมันก็เร่ ร่อนไปทะเลเหมือนกัน) มันสามารถเติบใหญ่ได้ถุง 4 เมตร ยาวและหนักกว่า 220 กิโล

อุปนิสัยของปลาชนิดนี้ ค่อนข้างรักสงบ ไม่ก้าวร้าว สามารถเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นๆ ที่มีขนาดใกล้เคียงได้ หรือชนิดเดียวกันได้ หลายๆตัว ชอบอยู่รวมกัน เป็นฝูงโดยการลอยตัว อยู่บริเวณ เหนือผิวน้ำนิ่งๆ เพื่อรอเหยื่อว่ายเข้ามา ใกล้จึงจะพุ่งเข้าไป งับเหยื่อและมีรูปแบบ การกินเหยื่อ ที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก และสันนิษฐานว่าเป็นปลาก่อนประวัติศาสตร์ที่ยังคงเหลือรอดจนถึงปัจจุบัน

Chinese giant salamander

ซาลาแมนเดอร์ยักษ์ของจีน(แต่พอแปลจากกูเกิลเขียนว่า หม้ออุ่นอาหารยักษ์จีน ฮ่า) เป็นซาลาแมนเดอร์สายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโล ก เมื่อโตเต็มที่อาจยาวถึง 1.8 เมตร รูปร่างหน้าตาของมันดูแปลกประหลาดเพราะเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ก่อนไดโนเสาร์ทีเร็กซ์เสียอีก ปัจจุบันมีถิ่นอาศัยอยู่เฉพาะในมณฑลกวางสี ประเทศจีนเท่านั้น ชาวจีนเรียกมันว่า "หว่าหว้าหวี่" แปลว่า "ปลาทารก" เนื่องจากเสียงร้องของมันคล้ายเสียงร้องของเด็กทารก ลักษณะของมันก็เหมือนกับซาลาแมนเดอร์ทั่วๆ ไป เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกจำพวกซาลาแมนเดอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 2 เมตร น้ำหนักกว่า 25 กิโลกรัม รูปร่างหัวกลมแบนใหญ่ ลำตัวแบน ตาเล็ก ปากกว้าง หางยาวมีแผ่นหนังคล้ายครีบ ขาสั้น 4 ข้าง มีนิ้ว 4 นิ้ว ลำตัวสีน้ำตาลกระหรือดำและสามารถเปลี่ยนสีได้ตามสภาพแวดล้อม มีเมือกลื่นคลุมตลอดทั้งลำตัว อาศัยอยู่ในลำธารที่น้ำใสสะอาด ไหลแรง

10 สัตว์ประหลาด

ไม่น่าเชื่อเลยว่าสัตว์ในอันดับต่อไปนี้จะมีอยู่จริงบนโลกของเรา เพราะรูปร่างของมันทั้งประหลาด น่ารัก น่าพิศวง ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน และนี้คือ 10 สัตว์พิศวงที่ไม่เชื่อว่ามันมีอยู่บนโลกของเร
อันดับ 10 Olm



http://wowboom.blogspot.com/2010/03/olm.html
หรือซาลาแมนเดอร์ถ้ำ หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ Proteus anguinus เป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม จนวิวัฒนาการไปอย่างสุดโต่ง และพวกมันยังปรากฎในผลงานเขียนในหนังสือเรื่อง On the Origin of Species ของ ชาลส์ ดาวิน สัตว์ชนิดนี้พบได้เพียงบริเวณทาง ตอนใต้ของยุโรป ในถ้ำ Dinaric karst อันมืดมิดเท่านั้น มีลำตัวยาว 20 - 30 เซ็นติเมตร มีลักษณะเป็นกลม มีเหงือกภายนอก 1 คู่ ใช้สำหรับหายใจอาศัยอยู่ในน้ำตลอดชีวิต มีขาสั้น โดยเท้าหน้ามี 3 นิ้ว ขาหลังมี 2 นิ้ว เนื่องจากพวกมันอาศัยอยู่ในถ้ำอันมืดมิด ทำให้ดวงตาแทบไม่มีการพัฒนา จนแทบจะเป็นอวัยวะไร้ประโยชน์สำหรับพวกมัน จึงทำให้ดวงตาของมันมีผิวหนังมาปกคลุม ใช้ประสาทสัมผัส ทางการได้ยิน และการดมกลิ่น ในการล่าเหยื่อ และพวกมันสามารถอดอาหารได้นานถึง 10 ปี นับเป็น สัตว์แปลก อีก 1 สายพันธุ์บนโลกนี้

อันดับ 9 Glass frog


กบแก้ว หรือ กราส ฟรอก เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งหน้า ก็กบธรรมดานั้นแหละแต่พึ่งค้นพบเมื่อไม่นานนี้เอง มันเป็นกบมีขนาดเล็กเพียง 3-7.5 เซนติเมตร แต่มันพิเศษกว่ากบตัวอื่นๆ หน่อยตรงที่มันมีผิวหนังโปร่งแสง และมองเห็นอวัยวะภายในได้ บางใสจนกระทั่งมองเห็นเส้นเลือด เห็นหัวใจ และตับไตใส้พุงทีเดียว แม้ผิวมันจะเป็นสีเขียวมะนาวก็ตาม กบชนิดพบได้แถวป่าอเมริกาใต้เอกวาเดอร์,ชายแดนโคลอมเบีย-ปานามาส่วนใหญ่จะอาศัยบนต้นไม้ หากแต่จะลงมาที่แม่น้ำลำธารในช่วงฤดูผสมพันธุ์ วิธีการวางไข่จะแตกต่างกันระหว่างชนิด กบชนิดนี้จะวางบนใบไม้หรือพุ่มไม้เหนือน้ำ กบตัวผู้จะดูไข่ระยะหนึ่ง หลังจากฟังลูกอ๊อดจะตกน้ำพร้อมที่จะเติบโตเป็นพบใสตัวต่อไป

อันดับ 8 Archaeidae
Screen Shot 2010-04-07 At 7.43.05 Am
Archaeidae หรือ แมงมุมนกกระทุ้ง จัดอยู่ในตระกูลแมงมุม สาเหตุที่ชื่อนั้นว่ามันมีปากเรียวยาวและคอที่ยาวดในการจับแมลงในระยะไกลจากตัวมันได้อย่างง่ายดาย(เหมือนในภาพ) พบในแอฟริกาใต้ มาดากัสการ์ ออสเตรเลีย และมันไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์

อันดับ 7 Yeti Crab

http://wowboom.blogspot.com/2009/02/yeti-crab.html
ปูเยติ หรือ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า " Kiwa hirsuta " เป็นปูประหลาดที่พบในทะเลลึก จะของมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างไปทางใต้ของเกาะอีสเตอร์ 1500 กิโลเมตร ในน่านน้ำของประเทศชิลี บริเวณช่องใต้ทะเลที่มีพิษอยู่จำนวนมาก ปูชนิดนี้มีจุดเด่นคือมันมีขนสีขาวจำนวนมากปกคลุมบริเวณ ก้าม และขาของปู ซึ่งทำให้มันเหมือนกับตัวเยติ ( Yeti ) แห่งยอดเขาหิมาลัย ซึ่งสาเหตุที่มันมีขนมากขนาดนี้ยังเป็นที่ถกเถียงของนักวิทยาศาสตร์ บ้างก็ว่า บนเส้นขนนี้เป็นกับดักแบตเทอร์เลีย ที่ปูเยติใช้หาอาหาร แต่มีบางคนแย้งว่าเชื้อเหล่านั้นมีหน้าที่เป็นตัวกรองแร่ธาตุที่มีพิษ ที่พ่นออกมาจากช่องใต้ทะเล

อันดับ 6 Hatchet fish

ปลาแฮทเช่ฟิช หากมองด้านขางเราจะเห็นว่ามันเป็นปลาธรรมดาทั่วๆ ไป แต่หากมองจากด้านหน้าละก็สยองขวัญมากๆ เพราะมันหน้าเหมือนคนไม่มีผิด ปลาน้ำลึกนี้พบได้ในหมาสมุทรทั้งหมดยกเว้นพื้นที่ที่หนาวจัด มันชอบน้ำทะเลเขตร้อนจำพวกมหาสมุทรอินเดียมากกว่า มันใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในความมืดที่มืดมิดมาโดนตลอด แต่มันสามารถเรืองแสงได้ และสามารถล่อเหยื่อให้เข้ามาใกล้ได้ แม้มันจะดูน่ากลัว แต่มันมีขนาดเล็กไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น(ประมาณ 2.8 Cm)

อันดับ 5 Vampire squid form hell

http://www.animallovely.com/?p=332
หมึกแวมไพร์มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Vampyroteuthis infernalis เรียกเล่นๆว่า vampire squid form hell หมึกแวมไพร์จะมีผิวนุ่มนิ่มสีดำ เหลือบน้ำตาลของมัน หนวดทั้งแปดที่ยึดกันด้วยพังผืดมองดูคล้ายร่ม ด้านในของร่มมีสีดำสนิทและมีหนามแหลมๆเรียงตัวตามแนวของหนวด บวกกับดวงตากลมโตบางทีแดงก่ำ บางทีสีน้ำเงิน ด้วยรูปร่างลักษณะเช่นนี้มันจึงถูกเรียกอย่างเป็นทางการว่า ถ้าเป็นหนังคงตั้งชื่อไทยว่า หมึกปีศาจ เนื่องจากมันใช้ชีวิตผ่านกาลเวลามาหลายล้านปีโดยที่สภาพหน้าตาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยสันนิษฐานว่ามันมีอยู่ตั้งแต่ช่วงปลายของยุค tertiary จากลักษณะรูปร่างของมันที่พ้องกับฟอสซิลของหมึกบางชนิดในยุคนั้นและก่อนหน้านั้น การใช้ชีวิต การเคลื่อนที่ การใช้สารเรืองแสง ระยะการเจริญเติบโต การสืบพันธุ์ที่ตัวเมียสามารถเก็บน้ำเชื้อตัวผู้ไว้ได้เป็นปีและไข่ก็สร้างเก็บในรังไข่ไว้ได้นานเช่นกันและตัวเมียมักตายไม่นานนักหลังวางไข่ ส่วนใหญ่มันกินแต่กุ้งเล็กๆและแพลงตอนซะเป็นส่วนใหญ่ ถ้ามันอยากได้อาหารมากกว่านี้มันต้องลอยตัวขึ้นไปสูงกว่านี้ แต่มันชอบที่มืดๆมากกว่า รู้สึกปลอดภัยและคุ้นชินกว่าแสงสว่างด้านบน อาหารที่กินแค่เศษซากเนื้อเล็กๆหรือแพลงตอนที่ลอยมาก็อิ่มแล้ว

อันดับ 4 Mata Mata

เต่าก้อนหินยักษ์ เต่าน้ำจืด มีถิ่นอาศัยบริเวณทวีปอเมริกาใต้ เมื่อโตเต็มวัยกระดองจะยาว 50 เซนติเมตร และน้ำหนักกว่า 20 กิโลกรัม มีลักษณะแปลก ส่วนหัวแบนแผ่เป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ จมูกเล็กเรียวเป็นหลอดค่อนข้างยาว กระดองขรุขระคล้ายก้อนหิน มีสีและรูปร่างคล้ายใบไม้แห้งและก้อนหิน ใช้ในการพรางตัวล่าเหยื่อเต่าชนิดนี้มีนิสัยรักสงบ ปัจจุบันกลายเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมที่มีราคาแพงและหายาก

อันดับ 3 Axolotl

http://wowboom.blogspot.com/2009/02/mexican-axolotl.html
จิ้งจกน้ำเม็กซิกัน มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นว่า " ACK-suh-LAH-tuhl " หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า ซาราแมนเดอร์ ( salamander ) ตามรูปที่เห็นนี้ จิ้งจกน้ำเม็กซิกัน อยู่ในช่วงตัวอ่อน ซึ่งลักษณะเด่นของช่วงตัวอ่อนคือ ครีบระยางรอบคอ ที่ทำหน้าที่เป็นเหงือภายนอก สำหรับดูดออกซิเจนในน้ำของปลา แห่งที่พบคือแหล่งน้ำที่ชื่อว่า Xochimilco ใกล้กับเมือง เม็กซิโกซิตี้ มันอาศัยอยู่ในน้ำตลอดชีวิต ขนาดโตเต็มที่สามารถมีความยาวถึง 30 เซ็นติเมตร แต่ทั่วไปจะมีขนาดประมาณ 15 เซ็นติเมตร และมีสีดำ และจุดสีน้ำตาล พวกมันกิน พวกหอย หนอน ตัวอ่อนแมลง ลูกปลาซึ่งใ นสมัยก่อน,yoถือว่าเป็นผู้ล่าอันดับต้นๆของห่วงโซ่อาหารในแหล่งน้ำทีเดียว แต่ปัจจุบันพวกมันถูกลุกลานจากปลาใหญ่ที่คนนำมาปล่อย หรือเพาะเลี้ยง และนกนักล่าจำพวกนกกระสา ( Heron )เนื่องจากพวกมันเป็นที่นิยมทั้งในเม็กซิโกเอง และเป็นที่ต้องการของตลาดซื้อขายสัตว์น้ำทำให้มันถูกล่า และเป็นที่น่ากังวลว่าพวกมันอาจจะสูญพันธ์จากแหล่งน้ำในธรรมชาติอีกชนิดหนึ่ง

อันดับ 2 Leafy Sea-dragon
Phycodurus Eques
http://wowboom.blogspot.com/2009/11/leafy-sea-dragon.html
มังกรทะเลใบไม้ชื่อนั้นมาจาก รูปร่างที่คล้ายมังกร และทั่วทั้งลำตัวมีสิ่งที่ยื่นออกมาคล้ายใบไม้ปกคลุมเต็มไปหมดส่วนที่ยื่นออกมานี้ไม่มีส่วนในการช่วยในการว่ายน้ำเลย ทั้งหมดมีประโยชน์เพียงเพื่อการพลางตัวเท่านั้น เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่งเมื่อโตเต็มที่ จะมีความยาวประมาณ 20 - 24 เซ็นติเมตร ที่เป็นญาติใกล้ชิดกับ ม้าน้ำ(Seahorse) แต่ไม่ใช่ม้าน้ำ ที่พบได้เพียงแหล่งเดียวในโลกที่ บริเวณทางตอนใต้ และทางตะวันตก ของประเทศออสเตรเลียพวกมันไม่ชอบว่ายน้ำ แต่จะใช้การเคลื่อนที่โดยการ ไหลไปตามกระแสน้ำ ยิ่งทำให้พวกมันเหมือนใบไม้ที่ลอยไปในทะเลยิ่งขึ้น พวกมันกินพวกแพลงตอน(Plankton) และสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เนื่องจากปากที่มีลักษณะเล็ก ยาวและพฤติกรรมเหมือนม้าน้ำ คือตัวผู้จะเป็นตัวที่อุ้มท้องเหมือนม้าน้ำ แต่มันไม่ใช่ม้าน้ำ จึงไม่มีกระเป๋าหน้าท้องไว้ฟักใข่ แต่ตัวเมียจะวางไข่ติดไว้ที่หางของตัวผู้แทน

อันดับ 1 Coelacanth

ปลาซีลาแคนธ์หรือซีลาคานท์หรือซีลาขันธ์ ถือเป็นสิ่งที่พิเศษที่สุดและถือว่าเป็นการฉีกหน้านักวิทยาศาสตร์เต็มๆ เพราะตอนแรกนั้นนักวิทยาศาสตร์กล่าวไว้ว่ามันสูญพันธุ์ตั้งแต่เมื่อ สิ้นยุค Cretaceous เมื่อ 65 ล้านปีก่อนโน้น แต่แล้วจู่ๆ ก็มีการค้นพบอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 1938 ครั้งถูกจับได้ที่ปากแม่น้ำ Chalumna ทางชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกาใต้ และที่เกาะ Grand Comoro
ปลาซีลาแคนธ์เป็นสัตว์เพียงไม่กี่ชนิด ที่รูปร่างของมันแทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยในระยะเวลานับหลายร้อยล้านปี รูปร่างของมันทุกวันนี้เหมือนกับเมื่อ 140 ล้านปีก่อนทุกประการ
ปลาซีลาแคนธ์ จัดได้ว่าเป็นญาติกับ Eusthenopteron ซึ่งเป็นปลาในยุคเริ่มแรกที่มีขา และเริ่มที่จะวิวัฒนาการมาเป็นพวกสัตว์บก แต่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้เสนอแนวคิดใหม่ที่ว่า Icthyostega Panderirchthyes และ Acanthotega เป็นบรรพบุรุษของ Tetrapod (สัตว์ 4 เท้า เช่นพวก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ, สัตว์เลื้อยคลาน, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม รวมถึงมนุษย์ด้วย)
ในช่วง 200 ล้านปีก่อน พวกนั้นมีกันมากกว่า 30 ชนิด ที่อาศัยอยู่ในช่วงเวลานั้น ถือว่าเป็นยุคทองของปลาซีลาแคนธ์เลยก็ว่าได้ มีอยู่ 3 ชนิดจากทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในน้ำจืด โดยมีอยู่ 2 ชนิดที่ไม่นับรวมเป็นปลาซีลาแคนธ์โบราณเนื่องจากว่า ทั้ง 2 ชนิดนี้มีขนาดค่อนข้างเล็ก น้อยตัวที่จะมีขนาดใหญ่กว่า 55 ซม. ส่วนปลาซีลาแคนธ์ที่พบในยุคปัจจุบันยาวได้ร่วม 6 ฟุต (1.8 เมตร) และมีน้ำหนักถึง 150 ปอนด์ หรือมากกว่านั้น (ยักษ์ใหญ่แห่งโมแซมบิค ตัวอย่างที่จับได้ตัวนี้เป็นตัวเมียที่มีขนาดใหญ่มากมีขนาดถึง 1.8 เมตร และหนังถึง 95 กิโลกรัม) โดยทั่วไปแล้วปลาซีลาแคนธ์จะมีขนาดเล็กกว่านี้ โดยเฉพาะตัวผู้มีขนาดเฉลี่ยอยู่ที่ 1.65 เมตร
ในช่วงเริ่มต้นของยุค Devonian ปลาซีลาแคนธ์ยุคนั้นยังเป็นปลากระดูกอ่อน ซึ่งภายในกระดูกสันหลังประกอบด้วยท่อที่เป็นกระดูกอ่อนที่บรรจุของเหลวอยู่ภายใน ซึ่งสามารถโค้งงอได้ Hollow fin spine ซึ่งพบในฟอสซิลเป็นที่มาของชื่อ ซีลาแคนธ์ (Coelacanth) ซึ่งมีความหมายในภาษากรีกว่า Hollow spine ได้มีการเปลี่ยนรูปแบบโครงสร้างจาการที่ไม่มีขากรรไกร มาเป็น มีเหงือกหลักแบบบานพับ และมีกะโหลกที่แข็งแรง (ปลาในสมัยก่อนหน้านี้ กระดูกจะหุ้มส่วนหัวอยู่ภายนอก จนดูเหมือนใส่เกราะ เพื่อป้องกันส่วนหัวไม่ให้ได้รับอันตราย) ฟันถูกจัดวางบริเวณสันของขากรรไกรล่าง และฟันบนอยู่บริเวณเพดานปาก (ถือได้ว่าเป็นขากรรไกรแท้จริง) สมองมีขนาดเล็กอยู่ภายในกะโหลกแข็ง กระดูกพับบริเวณส่วนกลางช่วยขยายขนาดของปาก เพื่อใช้ในการกินอาหาร (ลักษณะเช่นนี้พบได้ในสัตว์จำพวกกบ) ตาได้ถูกพัฒนาให้ดีขึ้น โดยมีเซลล์สะท้อนแสงที่เรียกว่า tapila เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการมองในที่มืด, (Chamber heart pump blood)ห้องของหัวใจเป็นต้นแบบของมนุษย์ยุคปัจจุบัน บริเวณจมูกมีรอยเว้า 3 รอยแต่ละข้าง ซึ่งช่องนี้จะเรียกว่า Rostal Organ ภายในเต็มไปด้วยเจล อวัยวะส่วนนี้จะทำหน้าที่เป็นเครื่องรับกระแสไฟฟ้า (Electro receptor) เพื่อใช้ในการหาตำแหน่งของเหยื่อ, เส้นข้างลำตัวที่รับแรงสั่นสะเทือนจะพัฒนาไปเป็นส่วนรับสัมผัส (Ploximity) ในปลาชนิดอื่นๆ ซึ่งใช้ตรวจสอบสภาพแวดล้อมที่พวกมันอาศัยอยู่ จังไม่เป็นที่สงสัยเลยว่ามันจะมีประโยชน์แค่ไหนเมื่อพวกมันว่ายผ่านเข้าไปยังถ้ำใต้ทะเล
ปลาซีลาแคนธ์มีครีบหลัง 2 คู่ และยังมีครีบอีกอีก 1 ครีบบริเวณช่วงข้อต่อของส่วนหาง โดยครีบ 2 คู่แรกจะอยู่ตรงครีบอก และครีบตรงเชิงกราน ครีบเหล่านี้จะเป็นลักษณะพูเนื้อมีกระดูกเป็นแกนอยู่ภายในคล้ายกับ Eusthenopteron ซึ่งต่อมาจะพัฒนาไปเป็นแขนและขา ในพวกสัตว์บก อย่างไรก็ตามปลาซีลาแคนธ์ยังไม่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนใหญ่จะใช้ในการเดินใต้พื้นทะเล. ครีบอกและครีบบริเวณเชิงกราน จะเป็นรูปแบบ pre-adaption (รูปแบบดั้งเดิมก่อนจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอวัยวะที่ใช้เคลื่อนไหวบนบก). การใช้ประโยชน์ครีบเหล่านี้ในน้ำนั้นนอกจากจะใช้เดินใต้พื้นทะเลแล้ว ยังใช้ในการคอยรักษาความนิ่ง ความสมดุล แต่ในญาติของปลาซีลาแคนธ์ Eusthenopteron จะทำหน้าที่เหมือนเป็นขาทั้ง 4 ข้างเพื่อใช้ในการเดิน
เกล็ดของปลาซีลาแคนธ์มีความหนาและเป็นเส้นโดยวางตัวในลักษณะฟันปลาเรียงกันแน่น, การแยกปลาซีลาแคนธ์ออกจากปลาชนิดอื่นทำได้ง่ายเนื่องจากว่า ลักษณะหางของปลาซีลาแคนธ์จะมีลักษณะเป็น 3 พู
ปลาซีลาแคนธ์นั้นสามารถกินปลาได้แทบทุกชนิดที่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นทะเลไม่ว่าจะเป็น ปลาหมึกทุกชนิด, ปลาไหลใต้ทะเลลึก และปลาทั่วๆไปที่พบได้ในบริเวณ แนวหินใต้ทะเลลึก ส่วนสีสันของปลาซีลาแคนธ์นั้นจะเป็นสีน้ำเงิน มีจุดสีขาวกระจายตามลำตัว และยังมีอีกชนิดที่รูปร่างคล้ายกันแต่ต่างกันตรงที่พื้นสีที่จะเป็นสีน้ำตาลแทนที่จะเป็นสีน้ำเงิน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าความมีลักษณะเฉพาะตัวของซีลาแคนธ์ ทำให้มันมีชีวิตได้ยืนยาวกว่า 60 ปี
ปลาซีลาแคนธ์ นั้นชอบอาศัยอยู่ในน้ำลึก ตั้งแต่ 150-300 เมตร และสามารถว่ายน้ำถอยหลังได้ และว่ายน้ำแบบหงายท้องก็ได้ นอกจากนี้มันชอบอาศัยอยู่ในถ้ำใต้น้ำ และพักผ่อนในตอนกลางวัน
นอกจากนี้ซีลาแคนธ์ นั้นไม่ชอบอพยพไปอยู่ที่อื่นเพราะเครื่องส่งสัญญาณที่ติดตามตัวปลาแสดงให้เห็นว่าปลาซีลาแคนธ์ ไม่ชอบว่ายน้ำไปไกลจากถิ่นที่อาศัยอยู่มากนัก การที่จำนวนมันลดลงก็เท่ากับว่ามันตายไปแล้วและสาเหตุสำคัญอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มันสูญพันธุ์ได้ง่ายก็เพราะว่าวิธีการสืบพันธุ์ของมัน ตัวเมียตามปกติจะอุ้มท้องที่มีไข่ ซึ่งถูกผสมพันธุ์แล้วประมาณ 20 ใบ มันจะไม่วางไข่ แต่จะใช้เวลานานถึง 13 เดือน ในการฟักไข่ และไข่ที่ถูกฟักเป็นตัวมีจำนวนประมาณ 5 ฟอง และทันทีที่ลูกปลาออกจากไข่มันจะกินพี่น้องตัวที่อ่อนแอที่สุด ดังนั้นการที่เราจับปลาซีลาคานท์ตัวเมียได้เปรียบเสมือนการฆ่ามันทั้งตระกูลเชียวล่ะ
ปัจจุบันซีลาแคนธ์ถูกจัดอยู่ในสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะถิ่นที่อยู่อาศัยในบริเวณนั้นถูกคุกคามจากการจับทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจซึ่งเมื่อถูกจับขึ้นมา จะถูกทิ้งไว้ทิ้งบริเวณผิวน้ำซึ่งปลาไม่สามารถกลับลงไปในระดับเดิมได้และตายลงในที่สุด อีกทั้งเชื่อว่าของเหลวในแกนสันหลังของปลาทำยาอายุวัฒนะได้ จึงถูกสั่งซื้อโดยประเทศจีน ไต้หวัน ปลามีราคาสูงถึง 500-2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในตลาดจีน และ ไต้หวัน คาดว่าประชากรซีลาแคนธ์ที่เกาะ Grand Comoro มีจำนวนไม่ถึง 100 ตัว
แต่อย่างไรก็ตามได้ซีลาแคนธ์ ถูกบรรจุอยู่ในบัญชี CITES อีกทั้งสมาคมนักอนุรักษ์ทั้งหลายก็พยายามอนุรักษ์ ปลาดึกดำบรรพ์นี้โดยขอร้องให้รัฐบาล Comoran ออกกฎหมายห้ามชาวประมงจับปลาน้ำลึกและให้ธนาคารโลกสนับสนุนโครงการติดตั้งอุปกรณ์ถ่ายภาพใต้น้ำระยะไกลเพื่อจับภาพตามถ้ำที่ปลาซีลาแคนธ์ อาศัยอยู่เป็นวีดีโอสดๆให้นักท่องเที่ยวและนักวิทยาศาสตร์ได้ชมกันแทนที่จะไปดำดูตัวเป็นๆ?
แต่ถึงแม้จะได้รับความคุ้มครองเพียงใด ซีลาแคนธ์ นั้น ก็ลดจำนวนเหลือน้อยลงไปทุกที สาเหตุเพราะ การลักลอบฆ่ามันเพื่อแลกกับเงิน 10,000-50,000 บาท ในขณะที่รายได้ต่อปีของประชากรชาว Comoran เพียง 10,000 บาทต่อปีเท่านั้น และการที่ชาวเกาะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นก็ทำให้การลักลอบจับซีลาแคนธ์ มีมากขึ้นตามไปด้วย